นี่ใช่ครั้งแรกหรือเปล่า? ที่คุณติดดอยหุ้นสูง
นี่ใช่ครั้งแรกหรือเปล่า? ที่คุณเผชิญหน้าต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย และทั่วโลกติดลบ และผันผวนอย่างหนัก
นี่ใช่ครั้งแรกหรือเปล่า? ที่คุณยอมขายหุ้นรักษาทุน แล้วหุ้นดีดขึ้นแสกหน้าคุณในช่วงเวลาถัดมา
สัปดาห์ที่ผ่านมา และสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นผันผวนติดลบอย่างหนัก ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่โค้ชเจอ วันเดียว 100 จุด ก็เคยผ่านมาแล้ว พอร์ตเคยติดลบหนักๆ โดนระดับ 7 หลัก ก็เคยคัตลอสต์มาแล้ว เรียกได้ว่ากว่าจะกู้พอร์ตกลับมาได้เลือดตาแทบกระเด็น แต่ด้วยใจสู้ และไม่ยอมแพ้ ออกมาตั้งสติใหม่อยู่พักใหญ่ๆ พร้อมกับขายหุ้นตัวแดงที่คิดว่าหมดอนาคตหรือยากที่จะกลับขึ้นมาบวกได้ในระยะเวลาอันสั้นออกหมด ซึ่งแน่นอนมันยากมากที่จะทำใจได้
แต่พอคัตหุ้นออกปุ๊บ (แม้จะติดลบไปหนักแล้วก็ตาม) กลับรู้สึกว่า เบาใจขึ้น (เงินก็เบาตามด้วย) ได้เงินสดกลับคืนมา ถือรอจังหวะ (ต้องมีความรู้เรื่องกราฟเทคนิคอล) พร้อมกับขายสินทรัพย์บางอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป เปลี่ยนกลับมาเป็นเงินสดก่อน แล้วเพิ่มพอร์ตเข้าไป แล้วรอจังหวะตลาดภาพรวมรีบาวนด์ บรรยากาศเริ่มคลี่คลาย เริ่มมีข่าวดีด้านเศรษฐกิจเข้ามา และเข้าหุ้นตัวหนึ่งไปเต็มพอร์ตถือรันกำไรจนพลิกกลับมาได้ นั่นเป็นกลยุทธ์ที่โค้ชเคยทำ แต่การแก้พอร์ตในครั้งถัดๆ ไปไม่ต้องขายสินทรัพย์อีกแล้ว เพราะมีการแบ่งกำไรออกมาเป็นเงินสำรองแทน ถ้าขาดทุนก็จะเติมเงินสดที่มีอยู่กลับเข้าไปในพอร์ตแทน และแบ่งเงินกำไรที่ได้ไปซื้อสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าต่างๆ กลับคืนมาด้วย
แต่วิธีการ “กู้พอร์ต” แบบนี้ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ เพราะมันเต็มไปด้วยความเสี่ยงแบบสุดโต่ง คุณจะเจอกับอาการลังเลในการเพิ่มเงินเข้าไป คิดวนไปวนมาหุ้นจะตกอีกหรือไม่ ซื้อแล้วจะติดดอยหุ้นอีกหรือเปล่า เศรษฐกิจจะกลับมาดีแล้วจริง? นั่นคือสิ่งที่เทรดเดอร์ และนักลงทุนทุกคนต้องคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป และถ้าผ่านเหตุการณ์นี้ พร้อมกับกู้พอร์ตกลับมาได้คุณจะได้ภูมิคุ้มกันที่จะไม่ปล่อยให้พอร์ตเสียหายจนรักษาทุนไม่ได้อีกในวิกฤตครั้งถัดไป
แต่สำหรับ “คนที่ไม่เคยติดลบหนักมาก่อน” และเอาตัวรอดจากดัชนีที่ตกหนักในรอบนี้ได้ แสดงว่าคุณน่าจะมีวิธีการตัดสินใจรักษาเงินทุนในพอร์ตได้ดีในระดับหนึ่ง (หรืออาจจะหนีได้ทันแล้วเป่าปาก วู้! เกือบไปแล้วเชียว) แต่ก็ต้องไม่ประมาท เพราะอะไรในตลาดหุ้นและเศรษฐกิจก็ไม่แน่ไม่นอนอยู่แล้ว ถึงต่อให้เศรษฐกิจในประเทศดี แต่ถ้าเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน หรือต่างประเทศที่อยู่ไกลออกไปไม่ดี ยังไงก็กระทบกันหมดทั่วโลก เพราะโลกใบนี้ได้เชื่อมต่อแทบจะทุกอย่างเอาไว้ด้วยกันหมดแล้ว
สุดท้ายนักลงทุนที่จะสำเร็จในตลาดหุ้น ทุกคนต้องเผชิญต่อวิกฤตแบบนี้แน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว ไม่รอบนี้ก็รอบหน้า และรอบถัดๆ ไป และถ้าคุณผ่านวิกฤตมาได้ พอร์ตคุณจะโตรอบละ 5 เท่าเป็นอย่างต่ำ หรือถ้าย้อนกลับไปแบบง่ายๆ ตอนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ตอนนั้นจุดต่ำสุดของหุ้น KBANK อยู่ที่ 38.5 บาท ถ้าคุณเก็บได้ราคา 40 บาท ถือไปขายตอนปี 2013 ที่ราคา 200 บาท กำไร 5 เท่าตัว เฉลี่ยปีละ 1 เท่า (แต่ชีวิตจริงขายตั้งแต่ราคา 45-50 บาทไปแล้ว) ซึ่งเยอะมากสำหรับหุ้นตัวใหญ่ ส่วนหุ้นตัวเล็กนี่ไม่ต้องพูดถึง ดู JAS เป็นตัวอย่าง จากแถวๆ 0.50 บาท เคยวิ่งขึ้นไปถึงเท่าไหร่
ใครติดดอยหุ้นอยู่ และคิดว่ายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะกู้พอร์ตที่ติดลบหนักได้ในเร็วๆ นี้ ถ้าจะให้แนะนำแบบเจ็บแต่จบ (โค้ชมีนิสัยส่วนตัวแบบนี้ ไม่ชอบยื้อ) ให้ล้างพอร์ตทั้งตัวเขียวตัวแดงออกมาให้หมดก่อน แล้วตั้งสติ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาแล้ว และเริ่มใหม่อีกครั้ง กลับไปศึกษาพฤติกรรมตลาดภาพรวม พฤติกรรมหุ้นแต่ละตัวให้กระจ่างขึ้น ดูกราฟเทคนิคอลให้แม่นยำ หรือจะไปอ่านพื้นฐานบริษัทประกอบด้วยก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน และอะไรที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็หมั่นศึกษาให้ลึกขึ้นๆ และความรู้เหล่านั้นไม่ใช่ใครที่ไหนที่ได้ไป “ตัวเรา” เองนี่แหละที่ได้ไป
ครั้งหน้าจะแนะนำเรื่อง “เริ่มต้นใหม่อย่างไร หลังพอร์ตสะอาด” ติดตามกันในตอนถัดไป
เจน นิติการณ์ จิวณิชย์ศิษฐ์ หัวหน้าโค้ช Fire Warrior Team
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง