xs
xsm
sm
md
lg

VI แนะหุ้นผันผวน ปรับพอร์ตเลือกหุ้นถูกตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เซียนหุ้นคุณค่า แนะนักลงทุนในภาวะตลาดหุ้นผันผวนเลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 10-15% และ P/E ไม่แพงมานัก พร้อมปรับพอร์ตถือเงินสดไม่น้อยกว่า 20% ไว้ในมือเลี่ยงความเสี่ยง ชี้กลุ่มท่องเที่ยว พลังงานทดแทน กลุ่มสาธารณูปโภค อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง น่าลงทุนกว่ากลุ่มอื่น

นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า กล่าวในงานสัมมนา “เซียนรุ่นใหญ่ ไขความลับลงทุน และเซียนรุ่นใหม่การลงทุนคือธุรกิจ” ว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวดูจากผลประกอบการในอดีตย้อนหลังประมาณ 3-4 ปี และต้องมั่นใจว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้า จะมีแนวโน้มการลงทุนที่ดีขึ้นถึงจะเข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านั้น แต่ถ้าหากธุรกิจดังกล่าวได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ไม่ดีต่อเนื่อง ก็อาจจะทำให้ธุรกิจนั้นมีความยากลำบากตามไปด้วย ซึ่งก็จะเป็นโจทย์ที่ต้องมาพิจารณาว่าหุ้นตัวไหนที่ยังสามารถประคองตัวอยู่ได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ โดยดูได้จากส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทนั้นๆ

ขณะที่ นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ กล่าวว่า นักลงทุนที่มีความต้องการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะความผันผวนที่รุนแรงอยู่ตลอดเวลาในขณะนี้ควรมีการวางแผนการลงทุน เช่น การจัดพอร์ตการลงทุน โดยเน้นการถือเงินสดมากขึ้น หรือประมาณ 20% ของพอร์ต เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากความไม่แนนอนที่ได้กล่าวไปแล้วในเบื้องต้น อีกทั้งควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีผลประกอบการที่ดี มีรายได้และกำไรที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น รวมถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่มีอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเป็นตัวเลือกการลงทุนได้ดีในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม มองว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตประมาณเฉลี่ย 10-15% มีความน่าสนใจในการเข้าไปลงทุน เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มพลังงานทางเลือก

นอกจากนี้ การเลือกลงทุนในหุ้นขอให้นักลงทุนอย่าลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะจะมีความเสี่ยงสูง ควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนไปยังกองทุนต่างๆ เช่น ตราสารหนี้ หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ยังมีหุ้นน้องใหม่ที่ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ประกอบกับหุ้นที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจก็มีความน่าสนใจในการเข้าไปเลือกลงทุนด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย นักลงทุนควรมีสติในการกลั่นกรองข้อมูลซึ่งถือว่าสำคัญที่สุด และต้องทำการบ้านหนักขึ้นกว่าปกติ ขณะที่ช่วงที่เหลือของปีนี้มองว่าสิ่งที่น่าจะเป็นปัจจัยลบแต่ไม่มากนัก ได้แก่ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด แม้ว่าจะมีการรับรู้ข่าวก่อนหน้านี้มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งนักลงทุนไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไปนัก ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ลงไปสู่ระดับผู้มีรายได้น้อย ที่นำไปสู่การเกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่จะตามมาก็จะเป็นภาระต่อเศรษฐกิจตามมาอีกด้วย

ด้าน นายอนุรักษ์ บุญแสวง หรือ “โจ ลูกอีสาน” กล่าวเสริมว่า นักลงทุนที่ถนัดการลงทุนระยะยาวยังสามารถลงทุนได้ แต่ควรเน้นการลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และเมื่อราคาหุ้นเกินมูลค่าก็ให้ขายออก แต่ทั้งนี้ควรประกันความเสี่ยงด้วยการจัดพอร์ตด้วยการถือเงินสดไว้ในมืออยู่ที่ 10-20% และอีก 80-90% ลงทุนในหุ้น

“ภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนหนัก นักลงทุนควรมองหาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าแล้วเข้าซื้อในช่วงราคาหุ้นลง และขายเมื่อราคาปรับตัวขึ้น หรืออาจจะหาหุ้นที่มีราคาต่ำ และมีปันผล 5-6% ก็ยังมีอยู่”

แต่ทั้งนี้ควรมองภาพรวมตลาดเน้นหุ้นรายตัวที่มีผลประกอบการดี และให้ปันผลสูง ซึ่งในระยะเวลา1-2 ปีข้างหน้าตลาดจะฟื้นตัวขึ้น เพราะโครงการการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ ที่จะออกมาช่วยเรียกความมั่นใจของผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย ก็จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาช่วยทำให้ขยายตัวได้ดีอีกครั้ง

ด้าน นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือ “เสี่ยปู่” นักลงทุนพันล้าน กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวจะเน้นการลงทุนในหุ้นรายตัว โดยมองจากการเติบโตของกำไรเป็นหลักที่จะต้องเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% และมีระดับ P/E 20 เท่า ขณะที่ก็มีการลงทุนใน Warrant ที่มีพื้นฐานดี พอราคาปรับขึ้นไปในระดับหนึ่งก็จะมีการขายทำกำไรออกมา

ส่วนการจัดพอร์ตลงทุนยังคงมีการลงทุนเต็ม 100% และก็มีการถือเงินสดไว้ส่วนหนึ่งจากการเข้าไปลงทุนในหุ้น IPO ซึ่งจะนำกำไรที่ได้มาเก็บไว้เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นที่มีกำไรเติบโตต่อไป

อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้โดยภาพรวมยังไม่ค่อยดี และ P/E หุ้นหลายๆ ตัวก็ยังอยู่ในระดับสูง นักลงทุนควรเลือกทยอยเข้าซื้อในหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แม้ว่าราคาหุ้นอาจจะมีการปรับลดลงมาแต่หากพื้นฐานยังดีอยู่ และกำไรยังมีทิศทางการเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาหุ้นจะสามารถสะท้อนพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นได้ นอกจากนี้ ความชอบส่วนตัวมองว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวมีความดึงดูดใจน่าลงทุน ซึ่งในสภาวะที่ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าการท่องเที่ยวจะสามารถเติบโตได้ดี และการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าก็จะเป็นจุดดึงดูดการลงทุนของต่างชาติอีกด้วย

“เชื่อมั่นว่าในที่สุดแล้วตลาดหุ้นจะสร้างผลกำไรที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็จะสะท้อนพื้นฐานของหุ้นได้ แต่ส่วนใหญ่หุ้นที่เจริญเติบโตสูงมักจะเป็นหุ้นที่มีราคาแพง ซึ่งก็ค่อยๆ ทยอยเข้าซื้อตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม”

ขณะที่ นายแพทย์พงศักดิ์ ธรรมธัชอารี กล่าวเสริมว่า ต่อจากนี้เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในช่วงขยายตัวได้แต่ไม่มากนักต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ประมาณ 2-3 ปี เนื่องจากภาคการส่งออกของประเทศยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับคู่ค้าสำคัญอย่างประเทศจีนที่มีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยไทยมีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนในสัดส่วนถึง 40% จากมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งไทยจะต้องปรับเปลี่ยน หรือเพิ่มมูลค่าสินค้าให้เป็นสินค้าที่มีราคาสูง และปริมาณการส่งออกที่มากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ที่ขาดหายไป และสร้างอุปสงค์ความต้องการในตลาดให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เติบโตไปให้ได้ในทิศทางที่ดีขึ้น

“ลงทุนในหุ้นควรพิจารณาหุ้นที่มีผลประกอบการในทิศทางบวก แม้เศรษฐกิจไม่ดีมากนักในขณะนี้ โดยส่วนตัวมองการลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวน่าจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในระยะอีก 3-5 ปีจากนี้ เนื่องจากรัฐบาลจะต้องหันมากระตุ้นในส่วนของภาคการท่องเที่ยว ทดแทนกลุ่มอุตสาหกรรมการส่งออกที่ไม่ดี นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมด้านการผลิตสิ่งของจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ และโรงพยาบาลที่ราคาหุ้นไม่แพง ก็ถือว่ามีความน่าสนใจ”
กำลังโหลดความคิดเห็น