xs
xsm
sm
md
lg

PwC ชี้เศรษฐกิจโลกขาดเสถียรภาพ กระทบกลุ่มธุรกิจประกันภัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

 ภาพจาก Reuter
PwC เผยผลสำรวจปัจจัยเสี่ยงธุรกิจประกันภัย ประจำปี 2558 พบกฎระเบียบที่เข้มงวดมากเกินไป ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยขาลง เป็นปัจจัยเสี่ยง 3 อันดับแรกที่ผู้ประกอบการทั่วโลกห่วงกระทบการดำเนินธุรกิจประกันภัยมากที่สุดใน 2-3 ปีข้างหน้า ชี้ภัยไซเบอร์ขึ้นแท่นปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่ต้องระวัง หลังเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจ แนะผู้ประกอบการต้องปรับตัว บริหารความเสี่ยงให้แม่น หาจุดต่าง และสร้างจุดเด่นให้เหนือคู่แข่ง

นางอโนทัย ลีกิจวัฒนะ หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี และหัวหน้าสายงานธุรกิจประกันภัย บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (ประเทศไทย) หรือ PwC หนึ่งในเครือข่ายบริษัทผู้ให้บริการด้านตรวจสอบบัญชี บริการให้คำปรึกษาด้านภาษี และบริการ เปิดเผยถึงผลสำรวจ Insurance Banana Skins 2015 ที่ทาง PwC ทำร่วมกับ The Centre for the Study of Financial Innovation (CSFI) โดยทำการสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยจำนวนกว่า 800 ราย ใน 54 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ว่า การออกกฎระเบียบข้อบังคับที่มากเกินไป (Regulation) ความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจมหาภาค (Macro-economy) และอัตราดอกเบี้ย (Interest rates) เป็นปัจจัยเสี่ยง 3 อันดับแรกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจประกันภัยมากที่สุดในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้

“การออกกฎระเบียบข้อบังคับของหน่วยงานกำกับที่เข้มงวดมากเกินไป ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมประกันภัยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่ทำการสำรวจ แม้ว่ากฎระเบียบข้อบังคับจะมีความสำคัญ และเป็นประโยชน์ต่อภาพรวม แต่ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบบ่อยครั้งเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุน และทำให้การดำเนินธุรกิจสะดุดได้”

ทั้งนี้ จากผลสำรวจพบว่า การออกกฎระเบียบข้อบังคับใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อความสามารถในการชำระหนี้ (Solvency) ซึ่งหมายรวมถึงกรอบกำกับเงินกองทุนธุรกิจประกันภัย และพฤติกรรมการปฏิบัติงานของบุคลากรในอุตสาหกรรม (Market Conduct) ได้สร้างแรงกดดันให้ผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ผนวกกับความยุ่งยากซับซ้อนในการต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance) แล้ว ยังสร้างความสับสนให้ฝ่ายบริหาร แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างผลกำไรให้ธุรกิจในช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง

นางอโนทัย กล่าวต่อว่า ตัวอย่างกรอบกำกับเงินกองทุนของประเทศยุโรป หรือ Solvency II ที่จะมีผลบังคับใช้กับบริษัทประกันภัยที่อยู่ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป หรืออียู ในปี 2559 นั้นได้สร้างความกังวลให้แก่ผู้ประกอบการมากที่สุด แม้มีหลายๆ ประเทศเริ่มใช้มาตรการในลักษณะเดียวกันบ้างแล้วโดยยึดกรอบของ Solvency II เป็นแนวทางปฏิบัติ

“กฎระเบียบถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ขณะเดียวกัน ความเข้มงวดที่มากเกินไปก็เหมือนการบีบบังคับให้ผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ แทนที่จะไปมุ่งเน้นทำธุรกิจหลักมากกว่า ซึ่งบุคคลทั้งใน และนอกวงการต่างเห็นพ้องต้องกันในประเด็นนี้”

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาค (Macro-economy) กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่ 2 ขยับขึ้นมาจากอันดับที่ 3 เมื่อคราวก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการยังไม่แน่ใจต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ตามมาด้วยอัตราดอกเบี้ย (Interest rates) ที่ยังอยู่ในช่วงขาลงถือเป็นปัจจัยเสี่ยงถัดมาที่กดดันผลตอบแทนการลงทุน ทำให้บริษัทประกันขายผลิตภัณฑ์ได้ยากขึ้น

ขณะที่ นายเดวิด ลาสเซลเลส ผู้จัดทำผลสำรวจนี้กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมประกันภัยกำลังเผชิญต่อความท้าทายในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ สภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ยากลำบาก และอุปสรรคจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรม ทั้งหมดสะท้อนออกมาเป็นมุมมองเชิงลบอย่างที่เห็นจากผลสำรวจในปีนี้

ด้าน นายสตีเฟ่น โอเฮิร์น หัวหน้าสายงานธุรกิจประกันภัย PwC โกลบอล กล่าวว่า แนวโน้มระยะยาวของธุรกิจนี้ยังคงเป็นบวก เพราะประชากรโลกมีอายุยืนยาว และมีความมั่งคั่งมากขึ้น แต่ความท้าทายที่พวกเขาต้องเผชิญ คือ ผลกระทบจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงดั้งเดิม และความเสี่ยงใหม่ๆ ให้ได้ ซึ่งจุดนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความแตกต่างที่จะนำไปสู่ความสำเร็จท่ามกลางสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน

“ภัยไซเบอร์” ความเสี่ยงใหม่ของธุรกิจประกัน

นางอโนทัย ให้มุมมองต่อประเด็นดังกล่าวต่อว่า อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจของผลสำรวจครั้งนี้ คือ ภัยคุกคามจากไซเบอร์ (Cyber risk) ขยับขึ้นมาเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่ 4 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มทำผลสำรวจเมื่อปี 2550 สาเหตุหลักมาจากการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การส่งมอบสินค้าประกันออนไลน์ การจัดการข้อมูล และอื่นๆ ทำให้ปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ และการรักษาความปลอดภัยขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา

“ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจารกรรมข้อมูล หรือข้อมูลมีการรั่วไหล หรือถูกแฮกเกอร์เข้ามาล้วงข้อมูล ไปจนถึงการทำงานผิดพลาดของซอฟต์แวร์ เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าในอดีต โดยปัจจุบัน บริษัทประกันภัยตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การเพิ่มมาตรการควบคุมดูแล และจัดการความเสี่ยงกลายเป็นภารกิจสำคัญของผู้ประกอบการในธุรกิจนี้”

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พบว่า การขาดแคลนบุคลากรที่มีประสบการณ์และความสามารถสูง (Talent) กลับเป็น 1 ใน 5 ปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจประกันภัยในภูมิภาคนี้ เนื่องจากการเคลื่อนย้ายแรงงานที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันที่รุนแรงจะยิ่งทำให้การเฟ้นหาและรักษาคนเก่งเป็นเรื่องยากกว่าในอดีต

อย่างไรก็ดี แม้ในการสำรวจปีนี้จะพบความเสี่ยงใหม่ๆ แต่ก็มีความเสี่ยงบางประการที่มีผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง เช่น คุณภาพในการบริหารจัดการ (Quality of Management) และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate governance) ของบรรดาบริษัทประกันภัยที่มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจากในอดีตที่ทั้ง 2 ปัจจัยนี้เป็น 1 ใน 5 ความเสี่ยงอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม รวมไปถึงความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ และชื่อเสี่ยง (Reputation) ก็ลดลงเช่นกัน หลังจากที่บริษัทประกันภัยหันมาให้ความสำคัญต่องานสื่อสารองค์กรมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตของสังคมออนไลน์กำลังกลายเป็นภัยคุกคามของการบริหารภาพลักษณ์ และชื่อเสี่ยงองค์กรที่ต้องระวังเช่นกัน

“อุตสาหกรรมประกันภัยในประเทศไทยไม่สามารถเพิกเฉยต่อปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้เช่นกัน โดยเรามองว่า นอกจากอุตสาหกรรมจะต้องรักษาความเป็นมืออาชีพ และจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจแล้ว ผู้ประกอบการยังต้องพร้อมปรับตัว และยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงที่โลกกำลังเผชิญอยู่”
กำลังโหลดความคิดเห็น