รมว.คลังเอเปก เห็นพ้องสร้างเสถียรภาพเพื่อรองรับความผันผวนของตลาดการเงินโลก เลี่ยงแข่งขันลดค่าเงินในภูมิภาค และการกีดกันทางการค้าทุกรูปแบบ พร้อมหันไปใช้นโยบายการคลังแบบยืดหยุ่น
สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ระบุว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปก (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 22 ระหว่างวันที่ 10-11 ก.ย.58 ณ เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีหัวข้อหลัก (Theme) ของการประชุม คือ Building Inclusive Economies, Building a Better World ซึ่งมีการหารือที่สำคัญสรุปได้ดังนี้
สมาชิกเอเปกได้หารือถึงแนวโน้มด้านเศรษฐกิจ และการเงินโลก และได้ตกลงที่จะร่วมกันสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และสมดุลในภูมิภาค และเห็นว่าภูมิภาคเอเปกเป็นเครื่องยนต์หลักที่ผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้น จึงต้องร่วมกันเสริมสร้างเสถียรภาพเพื่อรองรับความผันผวนของตลาดการเงิน โดยจะให้ความสำคัญต่อการใช้นโยบายการคลังที่ยืดหยุ่น หลีกเลี่ยงการแข่งขันเพื่อลดค่าเงิน และการกีดกันทางการค้าในทุกรูปแบบ และเร่งปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อยกระดับศักยภาพในการเจริญเติบโต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปกได้ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการเซบู (Cebu Action Plan) ซึ่งจะกำหนดแนวทางความร่วมมือด้านการเงินการคลังของเอเปกตลอด 10 ปีข้างหน้า และยึดตามหลักการพื้นฐานของกรอบความร่วมมือเอเปกที่ไม่ผูกพัน และเป็นไปตามความสมัครใจของสมาชิก โดยจะประสานการดำเนินการกับองค์การระหว่างประเทศต่างๆ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องด้วย
สำหรับ Cebu Action Plan ประกอบด้วยความร่วมมือ 4 ด้าน ได้แก่ การส่งเสริมการรวมกลุ่มทางการเงิน (Promoting Financial Integration) เพื่อนำไปสู่การรวมตัวทางการค้าและการลงทุนในระดับที่สูงขึ้น โดยส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และผลักดันให้แต่ละเขตเศรษฐกิจเน้นการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของวิสาหกิจขนาดจิ๋ว ขนาดเล็ก และขนาดกลาง (Micro Small and Medium Enterprise: MSMEs) การให้ความรู้ทางการเงิน การลดข้อจำกัดของการค้าบริการด้านการเงินข้ามพรมแดน การอำนวยความสะดวกในการโอนเงินกลับประเทศ (Remittance Flows) และสนับสนุนโครงการจัดการกองทุนรวมภูมิภาคเอเชียข้ามพรมแดน (Asia Region Funds Passport: ARFP) เป็นต้น
การเร่งรัดการปฏิรูปและเพิ่มความโปร่งใสทางการคลัง (Advancing Fiscal Reforms and Transparency) เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรด้านการคลังอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสนับสนุนให้สมาชิกร่วมมือกันในการจัดทำกรอบการลงทุนของภาครัฐ (Public Investment Frameworks) การปฏิรูปด้านการคลัง การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ และการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติที่ดีและข้อมูลด้านภาษี เป็นต้น
การเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน (Enhancing Financial Resiliency) จะเน้นการเตรียมพร้อมด้านการคลังเพื่อให้สามารถรองรับผลกระทบกรณีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หรือภัยธรรมชาติ โดยเน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับมาตรการดูแลความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาค และสถาบันการเงิน (Macro-Prudential Measures) การจัดการความเสี่ยง และการประกันภัย รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุน
การเร่งรัดการลงทุนและการระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Accelerating Infrastructure Development and Financing) เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในภูมิภาคสอดคล้องต่อ APEC Connectivity Blueprint และเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปกได้หยิบยกขึ้นหารืออย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2556 โดยที่ประชุมได้เน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดำเนินโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐ และเอกชน (Public-Private Partnership) ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้สมาชิกเอเปกอื่นสามารถนำไปปรับใช้ในเขตเศรษฐกิจของตนได้
นอกจากนี้ ในระหว่างการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ รมว.คลัง ได้ร่วมหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (Mr.John Tsang) ปลัดกระทรวงการคลังด้านการเงินระหว่างประเทศ (Assistant Secretary for International Finance) ของสหรัฐอเมริกา (Mr.Ramin Toloui) และประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (Mr.Takehiko Nakao) โดยได้แลกเปลี่ยนความเห็นและมุมมองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลก สถานการณ์เศรษฐกิจของแต่ละประเทศ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจการคลังระหว่างทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.58 รมว.คลังไทย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และนิวซีแลนด์ได้ร่วมลงนามในร่างหนังสือแสดงความเข้าใจการจัดตั้งโครงการจัดการกองทุนรวมภูมิภาคเอเชียข้ามพรมแดนภายใต้กรอบเอเปก (Statement of Understanding on the Establishment of the Asia Region Funds Passport: SOU on ARFP) เพื่อแสดงเจตจำนงเข้าร่วมในการอนุญาตให้มีการขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมข้ามพรมแดนระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปกที่เข้าร่วมในโครงการฯ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตลาดทุนไทย สร้างทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นแก่นักลงทุน และขยายความร่วมมือในภูมิภาคให้มากขึ้น