มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 1.80 บาท เปิดจองซื้อ 16-18 ก.ย.2558 คาดเข้าซื้อขายตลาด mai 23 ก.ย.นี้ ตั้งอันเดอร์ไรต์ บล.ทรีนีตี้ จำกัด เป็นผู้จัดการในการจัดจำหน่ายหุ้น ร่วมกับอีก 3 โบรกเกอร์ชั้นนำ “สุธางค์ คนศิลป” มั่นใจกระแสตอบรับจากนักลงทุนดีเยี่ยม จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง สินค้ามีนวัตกรรม และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แถมส่วนมีลดให้นักลงทุนซื้อถึง 45% “นพชัย วีระมาน” เตรียมนำเงินเพิ่มทุนไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์เน้นนวัตกรรม และสร้างคลังสินค้า หลังพบความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น ลดต้นทุนค่าเช่าพื้นที่เก็บสินค้าในปัจจุบัน
น.ส.สุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทมาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมต่อปัจจัยพื้นฐาน และมีส่วนลดถึงร้อยละ 45 เมื่อเปรียบเทียบกับ PER ของตลาดหลักทรัพย์ mai โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้น จากผลกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก กำหนดเปิดให้จองหุ้นเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 16-18 กันยายนนี้ และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai หมวดอุตสาหกรรมบริการ (Service) ได้ในวันที่ 23 กันยายน 2558 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “KOOL” พร้อมกันนี้ ยังร่วมกับอีก 3 โบรกเกอร์ชั้นนำ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมีโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
“KOOL ประกอบธุรกิจจัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความเย็น เช่น พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ พัดลมอุตสาหกรรม พัดลมระบายอากาศ อุปกรณ์อะไหล่ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับโอโซน เป็นต้น ภายใต้ตราสินค้า MASTERKOOL และ Cooltop โดยรายได้หลักมาจากพัดลมไอเย็นที่เป็นสินค้านวัตกรรมที่ KOOL ออกแบบ และจัดจำหน่ายขึ้นเป็นเจ้าแรกๆ ของไทย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคในการแก้ไขปัญหาอากาศร้อน และปัจจุบันสินค้าดังกล่าวยังถือว่าใหม่ในตลาด เมื่อเทียบกับพัดลม และแอร์ที่รู้จักกันมานาน จึงถือเป็นข้อดีที่ตลาดจะมีการเติบโตได้อีกมาก เพราะทิศทางการรับรู้ถึงสินค้าในตลาดดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงจัดเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจลงทุน ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางด้านธุรกิจที่แข็งแกร่ง สินค้ามีนวัตกรรม นอกจากนี้ บริษัทมีทีมวิจัยและพัฒนาของตนเองทำให้มีศักยภาพในการออกแบบสินค้าใหม่ที่ทันสมัย ได้คุณภาพนำออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีตลาดทั้งลูกค้าองค์กร โรงงานอุตสาหกรรม และผู้ที่อยู่อาศัยตามบ้านเรือน และคอนโดมิเนียม จึงส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตอย่างโดดเด่น และต่อเนื่อง และมีโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคตที่จะเติบโตได้อีกมากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เห็นได้จากในช่วงโรดโชว์ที่ผ่านมา สินค้าของบริษัทได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ดิฉันจึงเชื่อมั่นว่า หุ้น KOOL จะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้แก่นักลงทุน” น.ส.สุธางค์ กล่าว
นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทมาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (KOOL) เปิดเผยว่า เตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปสร้างคลังสินค้าที่ จ.ชลบุรี เพื่อรองรับการกระจายสินค้าที่จะมีมากขึ้นตามการขยายตัวของตลาดที่เติบโตต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากผู้บริโภคมั่นใจในแบรนด์สินค้าของ MASTERKOOL ที่มีคุณภาพ ทำความเย็นได้จริง และประหยัดพลังงานกว่าการใช้แอร์ 10 เท่า รวมถึงนำมาใช้วิจัย และพัฒนาโดยเน้นสินค้านวัตกรรมใหม่นำออกสู่ตลาด อีกทั้งจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจให้มีความแข็งแกร่ง และขยายธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต เนื่องจากปริมาณความต้องการของลูกค้ายังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคผ่านช่องทางการขายที่หลากหลาย ทั้งโมเดิร์นเทรด ตัวแทนจำหน่าย และผ่านเว็บไซต์ชั้นนำ รวมถึงจำหน่ายในต่างประเทศอีกเกือบ 40 ประเทศในช่วงที่ผ่านมา และในอนาคตจะขยายไปสู่ลูกค้าระดับชุมชนมากขึ้น จึงมั่นใจว่า ในอนาคต KOOL จะสามารถขยายตัวต่อไปได้อีกมาก เนื่องจากการมีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้นซึ่งทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นบริษัทจดทะเบียน
“นอกเหนือจากจุดแข็งในตัวสินค้าที่มีคุณภาพทำความเย็นได้ดีกว่าคู่แข่ง และมีการพัฒนาเน้นสินค้านวัตกรรมใหม่ออกมาทุกปีแล้ว บริษัทยังมีสินค้านวัตกรรมด้านโอโซนออกจำหน่าย ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาได้หลากหลาย เช่น บำบัดน้ำเสีย และฆ่าเชื้อโรค ทำเครื่องล้างสารเคมีจากผัก และผลไม้ หรือเครื่องกำจัดกลิ่นรองเท้า เป็นต้น ซึ่งธุรกิจนี้ทำผ่านบริษัทลูก คือ บริษัท อินโนว์ กรีน โซลูชั่น จำกัด ภายใต้ตราสินค้า “ingreen” ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะเป็นสินค้าที่ได้รับการตอบรับที่ดีตามแนวโน้มของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น” นายนพชัย กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เติบโตกว่า 42% ต่อปี โดยในปี 2557 มีรายได้รวม 463.49 ล้านบาท กำไรสุทธิ 31.40 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 บริษัทมีรายได้รวม 437.26 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27.17 ล้านบาท และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ