ASTV ผู้จัดการรายวัน - ประธานบอร์ด เอเซีย พลัส ชี้รัฐบาลจากการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เดินหน้านโยบายมาถูกทางแล้ว กระตุ้นมาตรการระยะสั้นเสริมสภาพคล่องเหมือนหญ้าแห้งใกล้ตายหน้าบ้าน ต้องรดน้ำให้ฟื้นก่อน ส่วนมาตรการระยะยาวควรเน้นสร้างรายได้ให้ประชาชนระดับล่างผู้มีรายได้น้อยให้มั่นคงยั่งยืน ชี้จับตา 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ พลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร ดันตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ ASP กล่าวว่า หลังจากที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และมีนโยบายระยะสั้นในการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งถือว่าเป็นการเดินมาถูกทางแล้วเหมือนลานหญ้าหน้าบ้านที่กำลังจะแห้งตาย สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรก คือ การเอาน้ำมารดหญ้าที่กำลังจะตายให้หญ้าเหล้านั้นฟื้นคืนกลับขึ้นมาใหม่
แต่อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทางรัฐบาลจะต้องทำนอกจากนี้ คือ การเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้มีรายได้น้อย และมีมาตรการเฝ้าระวังว่าสิ่งที่ได้ทำไปนั้นเป็นไปนั้นมีความถูกต้อง และได้ผลมากน้อยแค่ไหน
ขณะที่ในระยะยาวรัฐบาลจะต้องพิจารณาวางนโยบายที่จะสร้างรายได้ให้ประชาชนระดับล่างผู้มีรายได้น้อยให้มั่นคงยั่งยืนได้อย่างไรบ้าง โดยสิ่งที่จะเป็นเครื่องจักรสำคัญ ได้แก่ นโยบายโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลก่อนตั้งจากหลายพรรคการเมือง แต่ละสมัยดำรงค์ตำแหน่งได้ไม่นาน และไม่มีความต่อเนื่องในการสานต่องานของรัฐบาลก่อนหน้า ซึ่งรัฐบาลเฉพาะกาลชุดนี้มีนโยบายไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะขับเคลื่อนการทำงานได้ง่ายขึ้น และคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตลาดทุนไทย
“นอกจากนี้ ในส่วนของ Up Site ของตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะปรับตัวขึ้นไม่มาก หากมองในรูปของจำนวนเปอร์เซ็นต์ดัชนี SET INDEX ซึ่งสี่งที่จะเป็นตัวทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจะอยู่ในหุ้น 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ พลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะกลุ่มสื่อสารที่มีการปรับตัวบวกขึ้นจากข่าวการเตรียมเปิดประมูล 4G และเทคโนโลยีอุปกรณ์สื่อสารที่ทยอยเริ่มเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 และ 4 ซึ่งเป็นไฮซีซันของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจปรับตัวขึ้นไม่มากนัก ขณะที่กลุ่มพลังงานจะต้องดูปัจจัยของสภาวะความต้องการในตลาดโลกเป็นหลัก”
อย่างไรก็ดี ในส่วนของปัจจัยต่างประเทศได้แก่มาตรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ที่หลายฝ่ายต่างจับตาเฝ้าระวังจนเกิดความกลัวว่าจะออกมาในทิศทางไหน ซึ่งหากเฟดไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ ก็คาดว่าจะเลื่อนไปในเดือนธันวาคม ซึ่งคาดว่าจะทยอยปรับขึ้นอย่างช้าๆ เพราะอย่างไรไม่ช้าก็เร็ว เฟดก็จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่ดี เพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นตัวสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ด้านเงินทุนต่างชาติที่จะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยนั้นมองว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก โดยทำการซื้อขายในตลาดหุ้นเกิดใหม่ เนื่องจากยังคงมีความกังวลต่อมาตรการของเฟดอยู่ และรอให้ทางตลาดหุ้นเกิดใหม่ย่อตัวปรับฐานลงมาก่อน เพื่อที่จะรอโอกาสในการเข้าไปลงทุนใหม่อีกรอบ ทั้งนี้ รวมไปถึงตลาดหุ้นไทยด้วย