xs
xsm
sm
md
lg

“แปซิฟิกไพพ์” ฟุ้งจะกลับมามีกำไรในครึ่งปีหลัง เหตุราคาเหล็ดขาดทุนลดลง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นางสาวธิติมา วัฒนศักดากุล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ บมจ.แปซิฟิกไพพ์ หรือ PAP
ประธานบอร์ดแปซิฟิกไพพ์ คาดจะกลับมามีกำไรได้ในปีนี้ หลังจากที่ราคาเหล็กปรับตัวลดลงไม่ถึง 10% แม้ว่าในครึ่งปีแรกจะยังมีผลประกอบการขาดทุนอยู่บ้าง พร้อมเชื่อมั่นรัฐมนตรีชุดใหม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปในทิศทางบวกได้

น.ส.ธิติมา วัฒนศักดากุล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บมจ.แปซิฟิกไพพ์ หรือ PAP กล่าวว่า บริษัทฯ คาดหมายว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปีนี้ เนื่องจากประมาณการอัตราขาดทุนของราคาเหล็กต่อกิโลกรัมหากราคาเหล็กลดลงไปไม่ถึง 10% ซึ่งในครึ่งปีแรกบริษัทฯ มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 48.19 ล้านบาท โดยเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนราคาเหล็กอยู่ที่ 22.50 บาท/กิโลกรัม ซึ่งทำให้บริษัทสามารถจัดการระบบสินค้าคงคลังได้ดีขึ้น และบริหารความเสี่ยงจากการขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“จากราคาเหล็กที่ลดลงมาอยู่ในระดับราคาเฉลี่ยที่ 16 บาท/กิโลกรัม ถือว่าลดลงมาแตะระดับที่ขาดทุนแล้ว ซึ่งโรงงานในประเทศจีนที่ไม่สามารถแบกรับการขาดทุนได้ทำการปิดตัวลงไปเป็นจำนวนมากพอสมควร ซึ่งบริษัทเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยในครึ่งปีแรกผลประกอบการของบริษัทมีรายได้ติดลบอยูที่ 4% และยังไม่สามารถที่จะคาดเดาได้ว่าราคาเหล็กจะลดลงไปอีกมากน้อยแค่ไหน เนื่องด้วยราคาน้ำมันก็ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่เป็นบวกได้ ยกเว้นในกรณีที่ราคาเหล็กมีการปรับลดลงอย่างรวดเร็ว และรุนแรง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงยืนยันที่จะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นแม้ว่าจะมีผลประกอบการขาดทุน แต่ยังไม่ได้สรุปว่าจะมีการจ่ายปันผลเป็นจำนวนเท่าไหร่ ขณะที่ในส่วนของกำไรสะสมของบริษัทฯ นั้นอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เตรียมที่จะปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้ลดลงต่ำกว่าปีก่อนหน้าซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 7,019.95 ล้านบาท โดยจะเป็นไปเป็นไปตามยอดขายเหล็กปีนี้ที่คาดจะลดลง 10% หรือมาอยู่ที่ 290,000 ตัน จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 320,000 ตัน จากการประเมินถึงความต้องการบริโภคเหล็กในตลาดโลกปรับตัวลดลงจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศจีน เป็นผู้บริโภคเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสัดส่วนการบริโภคเหล็กในอุตสาหกรรมต่างๆ ประมาณ 50% มีการบริโภคลดลง หรือติดลบ 1% คิดเป็นจำนวน 4 ล้านตัน รวมถึงบริษัทฯ ได้ปรับลดสัดส่วนการส่งออกในประเทศออสเตรเลียลงเหลือ 3-5% จากเดิมไม่ถึง 10% จากความต้องการที่ลดลง และความผันผวนของค่าเงิน แต่ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ประบกลยุทธ์เน้นการทำตลาดในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างต่างจังหวัดที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นของผู้ประกอบการ ทำให้สัดส่วนยอดขายจากต่างจังหวัดปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 35-40% จากก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ประมาณ 20%

ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในครึ่งปีหลังนี้น่าจะส่งผลดีต่ออุปสงค์ และอุปทานของเหล็กจากการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของผู้มีรายได้น้อยกว่า 1.4 แสนล้าน ทำให้คาดว่าจะสามารถดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมาได้ ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขายเหล็กสามารถเติบโตไปในทิศทางบวกได้
กำลังโหลดความคิดเห็น