กลุ่มทิสโก้เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก ทำกำไรกว่าร้อยละ 14 เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า เหตุเศรษฐกิจเริ่มทยอยฟื้นตัว ย้ำครึ่งปีหลังเน้นการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มช่องทางการขายและการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า กลุ่มทิสโก้ประกาศผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2558 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
“ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ และขาดความต่อเนื่อง การบริโภค อุปสงค์ภาคเอกชน และการผลิตยังคงอ่อนแอ การส่งออกยังคงหดตัว นอกจากนี้ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ได้ปรับประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยลงมาเล็กน้อยจากเดิม 3.5% มาอยู่ที่ 3.2% โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้น และมองว่า แรงขับเคลื่อนหลักจะมาจากการลงทุนภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการดำเนินธุรกิจตลอดทั้งปียังนับว่า ต้องเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งจากภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มทิสโก้ในครึ่งปีแรก นับว่ายังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ด้วยหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและระมัดระวัง”
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 กลุ่มทิสโก้จะยังคงเดินหน้าตามแผนงานเดิมที่ได้วางไว้ โดยมุ่งเน้นการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มช่องทางการขายและการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ตลอดจนการขยายโอกาสธุรกิจผ่านพันธมิตรทางธุรกิจ รวมทั้งการพัฒนากระบวนการทำงานและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการพัฒนาบุคลากรเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ งวดครึ่งปีแรกของปี 2558 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 มาอยู่ที่ 2,196 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 จากการปรับลดของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักปรับตัวสูงขึ้นที่ร้อยละ 4.0 จากการปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจตลาดทุน รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เติบโตถึงร้อยละ 21 ตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานของธุรกิจจัดการกองทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.7 จากการปรับตัวดีขึ้นของภาวะตลาดทุน และการออกกองทุนที่ตอบรับความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มทิสโก้มีผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2558 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 มาอยู่ที่ 1,004 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2558 ประกอบกับการบริหารต้นทุนเงินทุนที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากการปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจจัดการกองทุน
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558 มีจำนวน 249,341 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.0 จากไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับผลกระทบจากการอ่อนตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Car Inventory Financing) ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช้าและตลาดรถยนต์ที่ยังไม่ฟื้น อย่างไรก็ดี สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออเนกประสงค์ยังคงปรับตัวดีขึ้นตามแผนการขยายธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ ในขณะเดียวกัน หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 2.65 เป็นร้อยละ 2.86 จากฐานสินเชื่อที่ลดลงและหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลจากวันหยุดยาวในระหว่างไตรมาส
ทั้งนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวและไม่แน่นอนสูง กอปรกับบริษัทยังคงความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับที่ดีและจากนโยบายที่จะเพิ่มความระมัดระวังอย่างสูงภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว บริษัทได้พิจารณาเพิ่มสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเฉพาะงวด เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว โดยในไตรมาส 2 ปี 2558 กลุ่มทิสโก้มีการตั้งค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามนโยบายการตั้งสำรองอย่างระมัดระวังอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญของสินเชื่อเช่าซื้อยังคงปรับตัวดีขึ้นตามผลขาดทุนจากการขายรถยึดที่เริ่มดีขึ้นตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มทิสโก้ยังคงสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังคงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมอยู่ในระดับต่ำ ที่ร้อยละ 36.5 นอกจากนี้ ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดทั้งปี โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์ (BIS Ratio) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 17.4 สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำร้อยละ 8.50 ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 13 และร้อยละ 4.4 ตามลำดับ