ก.ล.ต. มุ่งพัฒนาตลาดทุนให้มีมูลค่าซื้อขาย 1 แสนล้านบาท ในปี 2020 ประกาศหนุนเอสเอ็มอีเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เผยนักลงทุนตระหนกปัญหากรีซเพียงช่วงสั้น พร้อมจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายสมชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง สปช. ได้เชิญนายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) ชี้แจงแนวนโยบายทางการพัฒนาระบบตลาดทุน โดยต้องการส่งเสริมการพัฒนาบริษัทจดทะเบียนให้มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจนักลงทุนเข้ามาซื้อขาย และยังต้องพัฒนานักลงทุนให้มีคุณภาพ ด้วยการส่งเสริมให้มีนักลงทุนสถาบันมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีนักลงทุนสถาบันเพียงร้อยละ 10 ขณะที่นักลงทุนรายย่อยร้อยละ 60 เมื่อเกิดภาวะตลาดอ่อนไหวจึงเกิดความผันผวนง่าย จึงต้องการเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันในตลาดให้เพิ่มขึ้น เพราะความผันผวนในตลาดจะลดน้อยลง ในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์ซี่งทำหน้าที่โบรกเกอร์ในตลาดต้องมีเงินทุนสำรองที่เพียงพอ ในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ต้องส่งเสริม หรือป้องกันไม่ให้นำสินค้าคุณภาพไม่ดีมาขายให้ผู้ลงทุน โดยต้องให้ความสำคัญต่อตัวแทนการขายให้มากขึ้น
ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องส่งเสริมให้ ตลท. เชื่อมโยงกับตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน การแบ่งแยกตลาด mai และ SET ให้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งเงื่อนไขการระดมทุน และการซื้อขาย รวมไปถึงการพัฒนาตลาดอนุพันธ์ให้ดึงดูดนักลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยง และมี New Product เพื่อรองรับความต้องการนักลงทุน การยกระดับการกำกับดูแลให้ป้องกันความเสี่ยงจากการส่งมอบเงินและการตกลงการขาย โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ได้มีเป้าหมายส่งเสริมให้มีมูลค่าซื้อขายจาก 64,000 ล้านบาท ในปี 2017 เพิ่มเป็น 1 แสนล้านบาท ในปี 2020 รวมทั้งการส่งเสริมให้ SMEs เข้ามาระดมทุนในตลาดทุนไทยได้มากขึ้น
ดังนั้น จึงต้องสร้างภาพลักษณ์ตลาดทุนไทยให้เป็นที่เชื่อถือมากขึ้น จึงต้องเชื่อมโยงตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน และต้องดึงหุ้นดีในต่างประเทศมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หรือนำหุ้นดีของไทยไประดมทุนประเทศเพื่อนบ้าน และบางครั้งต้องบอกให้นักลงทุนไทยยอมรับว่า หากมีหุ้นเพื่อนบ้านมาจดทะเบียนโดยมีเงื่อนไขน้อยกว่าไทย และมีความเสี่ยงกว่านักลงทุนจะรับได้หรือไม่ เพราะราคาหุ้นอาจผันผวน แต่จะมีผลิตภัณฑ์ในตลาดเพิ่ม
สำหรับปัญหาภาระหนี้ของกรีซนั้น นักลงทุนได้รับรู้ และปรับพอร์ตลงทุนในไปแล้ว เนื่องจากได้รับข้อมูลข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง 6-7 เดือน ผลกระทบจึงไม่น่ารุนแรงต่อตลาดหุ้นประเทศต่างๆ โดยเฉพาะไทย เพราะวันนี้ดัชนีหุ้นไทยเริ่มปรับดีขึ้น หลังปรับลดลงเหมือนกับหุ้นต่างประเทศเมื่อวานนี้ (29 มิ.ย.) แต่สิ่งที่น่าติดตาม คือ เมื่อกรีซมีปัญหาแล้วจะมีประเทศใดรอบสหภาพยุโรปมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาหรือไม่ และต้องติดตามดูว่า หากมีการตัดสินใจออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปจะมีสภาพอย่างไร ขณะที่อังกฤษซี่งยังไม่เข้าเป็นสมาชิกการใช้สกุลเดียวกันเป็นอย่างไร