“สปช.” หนุนพัฒนาตลาดทุน เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน และการแยกตลาด “Mai-SET” พร้อมส่งเสริมสินค้าใหม่ และเครื่องมือลดความเสี่ยง พร้อมส่งเสริมเอสเอ็มอีเข้ามาระดมทุนมากขึ้น
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานอนุคณะกรรมาธิการปฏิรูปตลาดทุน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวในงานสัมนา “ปฏิรูปเศรษฐกิจไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว” โดยระบุว่า ได้เสนอแนวทางการให้ความรู้การเงินฐานรากให้กับประชาชนรายย่อย เพื่อรู้จักการบริหารเงินในครอบครัว ทั้งการฝากเงิน การลงทุน เริ่มต้นด้วยการทำบัญชีครัวเรือนไม่ถูกหลอก เพื่อทำให้ประชาชนทั่วไปมีความรู้บริหารทางการเงินมากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถเข้าระดมทุนในตลาดทุนมากขึ้น เนื่องจากมูลค่าในตลาดหุ้นมากกว่าร้อยละ 200 ของจีดีพี ตลาดหุ้นสิงคโปร์มีสัดส่วนร้อยละ 400 ของจีดีพี ขณะที่สินเชื่อธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วนร้อยละ 100 ของจีดีพี เมื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ตลาดหุ้นไทยจะสามารถรองรับการระดมทุนของประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น
ส่วนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้องการส่งเสริมให้เชื่อมโยงกับตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน การแบ่งแยกตลาดเอ็มเอไอ, ตลท.ให้ชัดเจนมากขึ้นทั้งเงื่อนไขการระดมทุนและการซื้อขาย รวมถึงการพัฒนาตลาดอนุพันธ์ให้ดึงดูดนักลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยง และมี New Product เพื่อรองรับความต้องการนักลงทุน การยกระดับการกำกับดูแลให้ป้องกันความเสี่ยงจากการส่งมอบเงินและตกลงการขาย โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีเป้าหมายส่งเสริมให้มีมูลค่าซื้อขายจาก 64,000 ล้านบาทในปี 2560 เพิ่มเป็น 100,000 ล้านบาทในปี 2563 รวมทั้งส่งเสริมให้เอสเอ็มอีเข้ามาระดมทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้น
รวมทั้งยังต้องการผลักดันแนวทางพัฒนาระบบบำนาญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ข้าราชการ พนักงานบริษัทรายย่อยมีระบบดูแลอย่างครอบคลุม ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีมีเงินยังชีพเพียงพอ แต่ไม่ใช้เงินมากเหมือนกับรัฐบาลกรีซ ซึ่งต้องใช้งบประมาณเพื่อสวัสดิการสูงถึงร้อยละ 70 ของจีดีพีประเทศ คณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สปช. จึงเสนอปรับปรุงระบบบำนาญ โดยส่งเสริมให้ธนาคารรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน เข้าไปดูแลประชาชนเพื่อให้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อให้เป็นสวัสดิการชุมชนและการสะสมเงินออมในระยะยาว
