ไทยพาณิชย์เตรียมอัดแคมเปญกระตุ้นยอดใน 3 กลุ่ม “อาหาร-สุขภาพ-บ้าน” ระบุเน้นการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่วนเอ็นพีแอลเพิ่มเล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนการลดวงเงินค้ำประกันเงินฝาก ไม่กระทบมียอดไหลเข้าเพิ่ม
นายรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Segment Strategy ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB)กล่าวว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้ในส่วนของธุรกิจบัตรเครดิตธนาคารคงจะไม่เน้นไปที่การเติบโตของบัตรใหม่มากนัก เนื่องจากตลาดค่อนข้างจะขยายตัวได้น้อย จำนวนบัตรต่อคนมีค่อนข้างมาก ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่มเริ่มทำงานมีสัดส่วนน้อยกว่าผู้ที่เกษียณ หรือหยุดใช้บัตร จึงคาดว่าฐานบัตรเครดิตของธนาคารไม่สูงกว่า 2 ล้านใบในปัจจุบันไปมากนัก
พรัอมกันนั้น ธนาคารได้หันไปกระตุ้นที่การใช้จ่ายผ่านบัตรมากกว่า ซึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยนัก จึงเน้นในกลุ่มที่ลูกค้าต้องใช้ในชีวิตประจำ 3 กลุ่ม ได้แก่ อาหาร สุขภาพ และบ้าน โดยจะมีแคมเปญออกมาอีก 2-3 โปรแกรม เพื่อส่งเสริมการใช้จ่าย จากในปัจจุบันที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรต่อเดือนรวม 10,000 ล้านบาท เป็นระดับที่ทรงตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จากที่ธนาคารตั้งเป้าเติบโตไว้ 3-5%
“ในสภาวะอย่างนี้ จะคาดหวังยอดใช้จ่ายเติบโตหวือหวาคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็คงจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย เพราะจะมียอดส่วนหนึ่งที่เร่งขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้าย และนอกเหนือจากแคมเปญ 3 กลุ่มดังกล่าวแล้ว ในกลุ่มอื่นๆ อาทิ ท่องเที่ยวแม้จะไม่ได้มีแคมเปญใหญ่ แต่ก็จัดทำสิทธิประโยชน์ในลักษณะกลุ่มย่อยช่วยอีกทาง”
สำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธุรกิจบัตรเครดิตอยู่ที่ 2% ต้นๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ทำให้ผู้ถือบัตรบางกลุ่มมีศักยภาพในการชำระหนี้ลดลง แต่ลูกค้าของธนาคารส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจน้อย จึงทำให้คุณภาพหนี้ไม่ด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ยอดอนุมัติบัตรอยู่ที่ระดับ 40% ทรงตัวกับช่วงก่อนหน้า
“กลุ่มลูกค้าเราเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจน้อย ประกอบกับตัวลูกค้าเองก็มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายอยู่แล้ว หากมีการผิดนัดชำระหนี้ขึ้นมาก็เป็นเหตุสุดวิสัยที่เราจะต้องพยายามช่วยให้เขาลุกขึ้นมาได้อีก"
ยันลดค้ำประกันเงินฝากไม่กระทบ
ส่วนการลดวงเงินค้ำประกันเงินฝากเหลือ 25 ล้านบาทนั้น ไม่ส่งผลกระทบให้มีการย้ายเงินฝากออกอย่างผิดปกติแต่อย่างใด โดยสุทธิแล้วมีเงินฝากไหลเข้ามาเพิ่มด้วย ซึ่งมาตรการดังกล่าวถือเป็นเรื่องดีที่ผู้ฝากเงินจะปรับสมดุลระหว่างผลตอบแทนกับความมั่นคง และในการลดวงเงินลำดับต่อไปก็คงไม่มีปัญหา เพราะลูกค้ามีความเข้าใจในแนวทางนี้อยู่แล้ว