เอ็ม.ซี.เอสสตีล ไตรมาส 2 ปีนี้อวดรายได้รวม 850.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,207.58% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 153.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 754.65% ผู้บริหารเผยตัวเลขผลงานสดใสจากการรับรู้รายได้จากการส่งออกเหล็กโครงสร้างไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น และล่าสุด มีงานในมือที่มีอยู่ถึง 2 แสนกว่าตัน และเตรียมประมูลงานใหม่ต่อเนื่อง หนุนผลงานทั้งปีโตตามเป้า 10,000 ล้านเยน
นายไนยวน ชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม.ซี.เอสสตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS ผู้ผลิตและจำหน่ายโครงสร้างเหล็กชั้นนำในประเทศไทย เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำงวดไตรมาส 2/2558 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 850.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,207.58% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ 153.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 754.65% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 23.38 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาเหตุการเพิ่มขึ้นของรายได้ และกำไรในไตรมาส 2/2558 เนื่องจากปริมาณการส่งมอบโครงสร้างเหล็กให้แก่ลูกค้าต่างประเทศ 12,210 ตัน เพิ่มขึ้น 11,500 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 1,637% เพราะในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนไม่มีงานส่งออกในต่างประเทศ และปีนี้ความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคก่อสร้างในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือแล้ว 200,000 กว่าตัน ซึ่งงานดังกล่าวจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2562 และคาดว่าจะมีงานใหม่ๆ เข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งงานในมือที่รับมานี้ไม่รวมโครงการขนาดใหญ่ของบริษัทในญี่ปุ่น เช่น งาน Olympic ในปี 2563 นอกจากนี้ ราคาขายเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งมอบงานบางโครงการที่มีความยากของงาน ทำให้มีราคาขายที่สูงขึ้น รวมทั้งในปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับมาตรฐานโรงงานระดับ S Grade ซึ่งทำให้งานที่รับเข้ามาบางส่วนมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้บริษัทมีกำไรขั้นต้น 330.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,559.40% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้นที่ 19.93 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานของบริษัทในครึ่งปีแรกของปีนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี โดยมีรายได้รวม 1,768.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 384.08% และกำไรสุทธิ 344.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,947.14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการใช้เหล็กโครงสร้างในตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น และสินค้าส่วนใหญ่มีมาร์จิ้นสูง เพราะเป็นงานที่มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน ทำให้ขายได้ราคาดี” ดร.ชิ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MCS กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตที่โรงงานที่อยุธยาประมาณ 70,000 ตันต่อปี โดยในปีนี้คาดว่าจะใช้กำลังการผลิตโดยรวมประมาณ 40,000-45,000 ตัน ซึ่งบริษัทฯ จะต้องสำรองไว้ในส่วนของการแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนงานตามความต้องการของลูกค้า
สำหรับแผนการขยายการลงทุนนั้น ดร.ไนยวน ชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวเพิ่มว่า โดยปกติแล้วทางบริษัทฯ จะตั้งงบประมาณเรื่องการลงทุนปรับปรุงโรงงาน หรือต่อเติมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มการผลิต การขยายโรงงานเพิ่มเติม โดยใช้งบประมาณแต่ละปีไม่น้อยกว่าค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ของบริษัทฯ โดยในปีนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งสำหรับการลงทุนในต่างประเทศในปีนี้
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติเงินลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท ให้บริษัทฯ เข้าไปลงทุนในโรงงานลักษณะคล้ายกับบริษัทที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อช่วยเสริมศักยภาพในการผลิตชิ้นงานให้แก่ลูกค้าที่ประเทศญี่ปุ่น
ดังนั้น มั่นใจว่าผลการดำเนินของบริษัทฯ ในปี 2558 น่าจะมีการเติบโตที่สดใส และคาดว่ารายได้จะเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านเยน จากมูลค่างานในมือที่มีอยู่ 2 แสนกว่าตัน และยังมีแผนที่จะเข้าประมูลงานใหม่ๆ มูลค่าสูงเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะงานโครงการขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น