ผู้บริหาร SPCG พบนักลงทุน โชว์กำไรไตรมาส 2 มีรายได้ 1,171 ล้านบาท ฟันกำไร 683 ล้านบาท คาดผลประกอบการทั้งปีจะไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศทั้งญี่ปุ่น และพม่าไปได้สวย
วันที่ 13 ส.ค. ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย น.ส.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ได้จัดงาน “บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน หรือ Opportunity Day” ของบริษัท เอสพีซีจี พร้อมนำเสนอผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2558 และตอบข้อซักถามผู้ลงทุน
น.ส.วันดี กล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/2558 ว่า บริษัทมีรายได้ 1,171 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2558 ที่มีรายได้ 1,142 ล้านบาท และกำไรสุทธิไตรมาส 2/2558 อยู่ที่ 683 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2558 อยู่ที่ 660 ล้านบาท คาดว่าผลประกอบการรวมทั้งปีจะได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากรับรู้การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 260 เมกะวัตต์เต็มปี ขณะที่วางเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตแตะ 500 เมกะวัตต์ในปี 2562 จาก ณ สิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะมีกำลังการผลิตทั้งหมด 280-290 เมกะวัตต์
สำหรับโครงการร่วมทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมด 3 โครงการ รวม 130 เมกะวัตต์ จะเริ่มผลิตไฟฟ้าในไตรมาส 3 คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทได้ในไตรมาส 4 ในปี 2559 และจะทยอยรับรู้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 40% จากรายได้รวม
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับแผนการสร้างโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ ที่ร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่นฝ่ายละ 50% จากเดิมที่จะตั้งใน จ.นนทบุรี ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 10 เมกะวัตต์ เปลี่ยนเป็นการตั้งโรงงานใน จ.นครราชสีมา ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่กว่า และเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 100 เมกะวัตต์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มผลิตได้ในช่วงต้นปี 2559 ด้วยงบลงทุนราว 500 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 500 เมกะวัตต์ในระยะเวลา 3 ปี เพื่อรองรับการขยายตลาดในประเทศ และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
น.ส.วันดี กล่าวว่า โครงการผลิตไฟฟ้าพลังานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) บริษัทได้ร่วมมือกับโฮมโปรเป็นผู้แทนจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ และล่าสุดบริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) โดยจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน ทั้งในโครงการเก่าและใหม่ของควอลิตี้ เฮ้าส์ที่เปิดตัวใหม่เฉลี่ยปีละประมาณ 1,500 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สนใจติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 5% ทั้งนี้ การติดแผงโซลาร์เซลล์ สำหรับหลังคาบ้านจะมีกำลังการผลิตราว 2-10 กิโลวัตต์ และภายในปี 2558 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายมียอดขายแผงโซลาร์เซลล์อยู่ที่ 500 ล้านบาท
“บริษัทยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศเมียนมา เพื่อลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 1 เมกะวัตต์ ในเมืองมัณฑะเลย์ โดยบริษัทเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50% คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมราว 100 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าได้ในช่วงต้นปี 2559 นอกจากนั้น บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนกับผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าโครงการโซลาร์ฟาร์มค้างท่อ 2-3 ราย ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังการผลิตราย 30-40 เมกะวัตต์” น.ส.วันดี กล่าว