xs
xsm
sm
md
lg

“ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น” ร่วมทุนกับ “สปิน เวิร์ค” ต่อยอดธุรกิจดันรายได้โตแข็งแกร่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

บอร์ด “ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น” ไฟเขียว “ไลฟ์ มีเดีย กรุ๊ป” เข้าซื้อหุ้น “สปิน เวิร์ค” 51% เพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต พร้อมโชว์งบ Q2 ปีนี้ พลิกเป็นกำไร 21.11 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 6.13 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 444.47% ผู้บริหารเผยการเข้าซื้อกิจการของ SPW ครั้งนี้ช่วยหนุนรายได้ให้เพิ่มขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง ระบุต่อจากนี้จะมุ่งผลักดันธุรกิจทุกภาคส่วนให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวต่อไป

ม.ล.ศานติดิศ ดิศกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 10/2558 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท ไลฟ์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LMG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 99 ของทุนชำระแล้ว เข้าทำการซื้อหุ้นในบริษัท สปิน เวิร์ค จำกัด (SPW) จำนวน 51,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51 ของทุนจดทะเบียน และทุนชำระแล้ว คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น จำนวน 68 ล้านบาท โดย LMG ต้องชำระเงินค่าหุ้นสามัญให้แก่กลุ่มผู้ถือหุ้นของ SPW แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ชำระเป็นเงินสด จำนวน 24,000,000 บาท และส่วนที่สอง ชำระเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ LMG จำนวน 44 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยมีราคาเสนอขายหุ้นละ 1 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น จำนวน 44 ล้านบาท

โดยเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2558 LMG ได้ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการบริษัทเข้าลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายหุ้นกับกลุ่มผู้ถือหุ้นของ SPW เพื่อซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งภายหลังจากการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของ SPW ทำให้บริษัท วิสดอม พาร์ทเนอร์ส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ถือหุ้นเดิมของ SPW มีส่วนการถือหุ้นเท่าเดิม คิดเป็นอัตราร้อยละ 49 และบริษัท ไลฟ์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีสัดส่วนการถือหุ้นคิดเป็นอัตราร้อยละ 51

ทั้งนี้ LMG ถือเป็นบริษัทชั้นนำด้านสื่อสามารถให้บริการได้แบบครบวงจร ส่วนสาเหตุที่ LMG เข้าซื้อกิจการของ SPW ในครั้งนี้ นอกจากจะได้บอสใหญ่ของ SPW คือ คุณสฤษฎกุล แจ่มสมบูรณ์ และทีมงานเข้ามาถือหุ้น และช่วยบริหารแล้ว ยังถือเป็นความลงตัวในแง่ของกลยุทธ์เชิงธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้แก่กลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทฯ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ของ SPW ในฐานะบริษัทย่อยได้ทันที และเชื่อว่านับต่อจากนี้โครงสร้างธุรกิจของเครือบริษัทฯ จะแข็งแกร่ง และเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

“การเข้าซื้อกิจการของ SPW ในครั้งนี้ LMG ได้จัดหาแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อกิจการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่มาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ในการชำระเป็นเงินสด และชำระด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุน ซึ่งเรามีความมั่นใจว่าการเป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพนี้จะได้รับประโยชน์ทั้งในแง่ของรายได้ และกำไรที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคตให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าจะผลักดันธุรกิจในเครือมีเติบโตอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวต่อไป”

ม.ล.ศานติดิศ กล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2558 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558 ของบริษัท และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิเท่ากับ 21.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขาดทุนสุทธิ จำนวน 6.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 27.24 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 444.47% เนื่องจากบริษัทได้เข้าไปลงทุนในบริษัท สเตรกา จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อย ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จำนวน 194.15 ล้านบาท และรายได้จากการให้เช่าพื้นที่โฆษณาเพิ่มขึ้น จำนวน 7.32 ล้านบาท ในขณะที่อัตราสัดส่วนต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลง จึงทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ส่วนกำไรสุทธิงวด 6 เดือนเท่ากับ 8.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 24.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 136.52 %

“ผลประกอบการของ LIVE ในไตรมาสนี้ถือเป็นจุดสตาร์ตของการเทิร์นอะราวนด์ที่ทำให้ทุกคนมองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม และเรายังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้มันดีต่อไปเรื่อยๆ โดย LIVE มีนโยบายที่จะสรรหาธุรกิจใหม่ๆ ที่สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า และความเสี่ยงต่ำ ที่สามารถเข้ามาช่วยเสริมสร้างศักยภาพในธุรกิจเดิมที่มีอยู่ให้แข็งแกร่ง ตามวิสัยทัศน์ และพันธกิจของผู้บริหาร เพื่อให้โครงสร้างของเครือบริษัทฯ เติบโตอย่างมีเสถียรภาพต่อไปในอนาคต เคียงคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล ผู้ถือหุ้นสามารถตรวจสอบได้ทุกเวลา” ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น กล่าว 

อย่างไรก็ตาม บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น ได้แจ้งขอแก้ไขราคาเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทย่อย ดังนี้ จากเดิมจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 44,000,000 หุ้น พาร์ 1 บาท โดยมีราคาเสนอขายหุ้นละ 1.344 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 59,136,000 บาท ให้แก่นักลงทุน หรือบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) เป็นราคาเสนอขายหุ้นละ 1 บาท คิดเป็นมูลค่า 44 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น