โบรกฯ คาดหุ้นไทยสิงหาคมยังร่วงต่อจากปัญหาเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แถมน้ำมันโลกยังกดดันกลุ่มพลังงานทรุด แนะพิจารณาหุ้นผลงานไตรมาส 2 เติบโต และหุ้นจ่ายปันผลสูง พร้อมเชื่อต่างชาติยังไม่ไหลกลับเข้ามาลงทุน ลุ้นดัชนีมีโอกาสปรับลงอีกเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทย
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นเดือนสิงหาคมว่า ดัชนีหลักทรัพย์มีโอกาสปรับลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ที่ยังไม่คลี่คลาย จากปัจจัยเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวในครึ่งปีหลัง และมีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดประมาณการ GDP ซึ่งเป็นลบต่อกลุ่มธนาคาร และกลุ่ม Domestic Play จากฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศยังอยู่ในภาวะอ่อนแอ โดยการใช้จ่ายในภาคครัวเรือนยังได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ภาคเอกชนยังขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน การส่งออกหดตัวเกินคาดหลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า ขณะที่การลงทุนภาครัฐยังขาดการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่เป็นรูปธรรม ทำให้คาดว่า GDP ไทยจะขยายตัวเพียง 2.8%
โดยกลุ่มพลังงานจะถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่ลดลง เป็นผลให้แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในครึ่งปีหลังจะยังถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าต่อเนื่อง และความหวั่นวิตกปัญหาภาวะน้ำมันล้นตลาดหลังการบรรลุข้อตกลงในการยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์อิหร่าน กับประเทศมหาอำนาจ โดยอิหร่าน จะถูกยกเลิกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และจะสามารถส่งออกน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้นอีกราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่ส่งออกน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน
ขณะที่วิตกเศรษฐกิจโลกจะกระทบ Sentiment การลงทุน และกดดันภาคการส่งออก ทำให้ตลาดกลับมากังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง หลังจากจีนรายงานตัวเลขเศรษฐกิจออกมาอย่างน่าผิดหวัง จนทำให้ให้หน่วยงานทางเศรษฐกิจ เช่น IMF และ World bank ออกมาลดคาดการณ์เศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจโลกในครั้งถัดไป ซึ่งจะเป็นผลลบต่อ Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ดังนั้นโดยรวม ณ สิ้นปี 2558 คาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,425 จุด และกลยุทธ์ลงทุน คือ Selective BUY/เน้นเก็งกำไรคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 2 ที่จะออกมาดี โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน
นายทรงกลด วงศ์ไชโย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ยังไม่พบสัญญาณซื้อสุทธิหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติ เหตุจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว และค่าเงินบาทอ่อนค่า โดยจากการประเมินการขายของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ค.58 ขายสุทธิรวมประมาณ 46,000ล้านบาท โดยเฉพาะเดือน ก.ค.58 มีการขายสุทธิทั้งสิ้นราว 30,000 ล้านบาท
ด้าน บล.บัวหลวง คาดว่า ดัชนีฯ อาจลงต่อจาก 1,400 จุด ไปถึง 1,350 จุด ซึ่งมองว่าจะเริ่มเป็นจุดที่น่าสนใจกลับเข้าลงทุนรอบใหม่ และหากดัชนีลงมาอยู่ในระดับดังกล่าว คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะลดลงอีก 10% อย่างไรก็ตาม มองว่าปัจจัยสนับสนุนหุ้นไทยในเดือนสิงหาคม จะมาจากการประกาศงบ บจ.พร้อมทั้งประกาศปันผลระหว่างกาล คาดหนุนแรงซื้อคืน Cover short รวมไปถึงข่าวรัฐบาลปรับทีมเศรษฐกิจเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น หุ้นแนะนำ เก็งกำไร PYLON
เช่นเดียวกับ บล.เอเซีย พลัส ซึ่งเชื่อว่า ภายใต้ปัจจัยลบเชิงพื้นฐานที่คาดว่าจะเห็นการปรับลดทั้งประมาณการ GDP Growth และ EPS Growth อีกรอบหนึ่งหลังจากถูกปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเฉลี่ยประมาณการ GDP Growth ปัจจุบันถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ราว 3% เทียบกับระดับที่เคยถูกคาดหมายเมื่อต้นปี 2558 ที่ 4.5% ส่วน EPS Growth ถูกปรับลดลงจากระดับกว่า 24% มาสู่ระดับต่ำกว่า 20% และยังมีโอกาสที่จะปรับลดประมาณการลงมาได้อีก ขณะที่มูลค่าการซื้อขายซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อน SET Index ในอดีตได้ลดลงอย่างชัดเจน
ดังนั้น การกำหนดกลยุทธ์ในช่วงเวลานี้จึงกำหนดให้นักลงทุนระยะยาวทยอยสะสมหุ้นที่ให้ Dividend Yield สูง และมีค่า Beta ต่ำ เมื่อดัชนีปรับตัวลดลงมาที่บริเวณใกล้เคียง 1,400 จุด หรือต่ำกว่า โดยตัวเลือกที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ก็เช่น INTUCH TTW TVO BTS ADVANC EASTW HANA เป็นต้น
ด้าน นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ดัชนีปรับฐานลงจากความกังวลต่อทิศทางผลประกอบการ แต่ในภาพใหญ่กลับมองว่าการปรับฐานนี้เป็นการปรับฐานในช่วงตลาดขาขึ้นรอบใหม่ โดยคาดว่าในช่วงต้นไตรมาส 4 แรงซื้อต่างชาติจะเริ่มไหลกลับเข้ามา เพราะความชัดเจนในเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และความคาดหวังจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว รวมทั้งจะเริ่มเห็นการลงทุนภาครัฐที่ชัดเจน และคาดว่าดัชนีปีนี้จะกลับขึ้นไปที่ 1,500-1,550 จุด และในกลางปีหน้าจะขึ้นไปแตะ 1,600 จุด
“ต้องบอกว่าแม้เรามองตลาดหุ้นไทยจะปรับฐาน แต่เรายังมองเป็นปรับฐานในรอบขาขึ้นรอบใหม่ โดยหากลงมาอยู่ที่ระดับ 1,370 จุด ถือว่ามีความเหมาะสมมากต่อภาวะตลาดฯ และเศรษฐกิจในปัจจุบันเพราะเทียบ P/E 12 เท่าของปี 2559 และ Earning บจ.ที่ปรับลดลง 2-3% แต่หากเงินต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนหลังเฟดมีความชัดเจนในเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็ไม่น่าจะเป็นปัจจัยต้องกังวลเพราะสภาพคล่องในตลาดฯ จะกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง”
ส่วนหุ้นเด่น ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวที่ไตรมาส 4 จะเป็นไฮซีซัน และคาดจะต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปี 2559 ด้วยหุ้นแนะนำ คือ AOT CENTEL MINT ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง ที่จะได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนภาครัฐที่คาดทยอยประกาศงานประมูลออกมาต่อเนื่อง มีหุ้นแนะนำ คือ SCC ITD CK STEC UNIQ SEAFCO PYLON