xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นรีบาวด์เทคนิค คาดกนง.ลดดบ.0.25%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – คาดตลาดหุ้นสัปดาห์นี้อาจขึ้นทางเทคนิคต่อ แต่ต้องจับตาปัจจัยต่างประเทศด้วย หลัง
เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ย หนุนดัชนีหุ้นไทยรีบาวด์เทคนิคไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กดราคาทองทรงตัวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีครึ่ง นักวิเคราะห์คาด กนง.ธปท.จะดำเนินนโยบายสวนทางเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยลงอีก 0.25% กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนสัปดาห์นี้ จะยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อทางเทคนิค แต่ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากนักลงทุนยังรอดูปัจจัยทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ ทั้งการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และธนาคารกลางอังกฤษที่จะเปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ในวันที่ 5 ส.ค.58 ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม นอกจากนี้ยังให้ติดตามการปรับลดกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยลง หลังจบการประกาศงบไตรมาส 2/58 รวมถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่ 5 ส.ค.58 พร้อมให้แนวรับ 1,400 จุด แนวต้าน 1,440-1,460 จุด
ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นการรีบาวน์ทางเทคนิค โดยนักลงทุนน่าจะคาดหวังเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กระทรวงการคลังจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ รวมถึงคลายความกังวลหลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ยังไม่ส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่วนตลาดภูมิภาคอื่นๆส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก
อนึ่ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวันที่ 31 กรกฎาคม 58 ที่ 1,440.12 จุดเพิ่มขึ้น 22.63 จุด เปลี่ยนแปลง +1.60% มูลค่าการซื้อขาย 39,143.94 ล้านบาท โดยดัชนีทำระดับสูงสุดของวันที่ 1,440.12 จุด และทำระดับต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,423.14 จุด โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,911.58 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,904.12 ล้านบาท ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,913.56 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,902.14 ล้านบาท
ด้าน นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ระบุการที่เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 35 บาทต่อเหรียญฯ ตามทิศทางเดียวกับค่าเงินต่างๆ ในเอเชียที่อ่อนค่ากันทั้งหมด เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FOMC คงน้ำหนักการคาดการณ์ที่ว่า FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายน
ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงของเงินบาท ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่นำเข้าเป็นหลัก รวมถึงธุรกิจที่มีหนี้สินในรูปของเงินตราต่างประเทศ แต่หากมองในมุมกลับ ย่อมส่งผลดีต่อภาคการส่งออก ซึ่งน่าจะหักล้างผลดังกล่าวไปได้ เนื่องจากภาคการส่งออก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของ GDP ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทน่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีอย่างมีนัยสำคัญ
นายก้องเกียรติ กล่าวถึงกลยุทธ์ ในช่วงเวลานี้นักลงทุนระยะยาว ยังสามารถทยอยสะสมหุ้นที่ให้ Dividend Yield สูง และมีค่า Beta ต่ำ เมื่อ SET Index ปรับตัวลดลงมาที่บริเวณใกล้เคียง 1400 จุด หรือต่ำกว่า โดยตัวเลือกที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ก็เช่น INTUCH, TTW, TVO, BTS, ADVANC, EASTW, HANA เป็นต้น
นายสมชาย อเนกทวีผล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำกลยุทธ์การลงทุน ในช่วงนี้ว่า ให้เลือกสะสมหุ้นรายตัวที่ผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาโดดเด่น โดยเน้นลงทุนในระยะเวลา 3-6 เดือน ด้วยการทยอยซื้อสะสมหรือลงทุนในหุ้นที่ให้อัตราปันผลสูง เนื่องจากใกล้เวลาปันผลครึ่งปี
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังประเมินว่า มีโอกาสมากที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กนง. ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 1.25% เพราะเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าคาด สะท้อนจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา และการปรับลดคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เองจาก 3.8% เหลือ 3% รวมถึงเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำมาก ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีปัจจัยเชิงจิตวิทยาที่ส่งผลให้ กนง.อาจลดดอกเบี้ย คือกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. หากเกิดขึ้นจริงอาจทำให้นโยบายด้านเศรษฐกิจและการคลังสะดุดชั่วคราว ภาระในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะตกมาอยู่กับ กนง. ซึ่งจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินพยุงเศรษฐกิจและความ เชื่อมั่นในระยะสั้น
"กนง.มีโอกาสดำเนินนโยบายดอกเบี้ยสวนทางเฟด ตลาดไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ย แต่จะติดตามการแถลงการณ์ของเฟดหลังการประชุมหลังจากก่อนหน้านี้ ยืนยันหนักแน่นว่าจะขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ ซึ่งการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่สวนทางมีโอกาสทำให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออก มองว่าตลาดทุนเริ่มพิจารณาถึงความเป็นไปได้ดังกล่าวแล้ว สะท้อนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเพียง 2 สัปดาห์ จาก 34 บาท/เหรียญสหรัฐ มาสู่ระดับ 34.90 บาท/เหรียญสหรัฐ ในปัจจุบัน และการขายหุ้นไทย 5 วันติดต่อกันของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นในระยะกลางยังคงถูกกดดันด้วยแรงขายจากต่างชาติ"
นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด สรุปความเคลื่อนไหวราคาทองราคาทองคำปิดตลาดวันศุกร์ที่ 31 ก.ค.58 ไปที่ 1,088.41ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ แรงกดดันมาจากคาดการณ์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่มีความชัดเจนขึ้นหลังผลการประชุม FOMC ระบุจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหนึ่งครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทอ่อนค่าสู่ 35.23 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องหนุนราคาทองในประเทศให้ทรงตัวได้ที่ 18,200 บาทต่อบาททองคำ
“เฟดอาจส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนกันยายน ข้อมูลดังกล่าวหนุนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐปรับขึ้นและทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลักปัจจัยดังกล่าวกดดันให้ราคาทองคำทรงตัวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีครึ่ง หลังจากร่วงลงสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน ประกอบกับ การชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจในจีนทำให้อุปสงค์ทองคำชะลอตัวลงตาม” นายวรุต กล่าว
พร้อมประเมินในระยะสั้น หากราคาทองคำขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,096-1,105 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่หากไม่สามารถผ่านไปได้ จะอ่อนตัวลงทดสอบแนวต้าน 1,073 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ ซึ่งการแกว่งตัวของราคาทองคำยังถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนระยะสั้นเข้าซื้อเก็งกำไร นักลงทุนยังต้องระมัดระวังแรงขายทางเทคนิคและนักลงทุนควรตั้งจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุดบริเวณแนวรับ เพื่อลดความเสียหายของพอร์ทการลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น