ตลท. แนะรัฐบาลเร่งผลักดัน ศก.ในประเทศให้ฟื้นตัว โดยกระตุ้นบริโภคในประเทศ และการท่องเที่ยว แทนภาคการส่งออก ยอมรับตลาดหุ้นอ่วมปัจจัยลบทั้งใน และนอกประเทศ เหมือนกับตลาดในภูมิภาค ชี้เม็ดเงินเก็งกำไรไหลออกไปเกลี้ยงแล้ว ส่วนเม็ดเงินลงทุนในระยะยาวยังอยู่ครบ 32% ของมาร์เกตแคปรวม 13 ล้านล้านบาท นักวิเคราะห์ชี้หุ้นไทยปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 14 เดือน กังวล ศก.ยังไม่ผ่านจุดต่ำสุด
นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้มีการฟื้นตัวขึ้นกลับมานั้นควรกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้มีการเติบโตได้ดีขึ้นก่อน อย่างเช่น การกระตุ้นการบริโภค และการท่องเที่ยว ซึ่งมองว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องมากกว่าการเน้นกระตุ้นภาคส่งออก เนื่องจากขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจในตลาดโลกยังไม่ฟื้นตัว เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกล่าสุดในเดือน มิ.ย.ที่ออกมาติดลบ 7.8%
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นทั้งปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศส่งผลมาถึงตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาให้ปรับตัวลงมาอย่างมาก รวมไปถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคที่มีทิศทางเดียวกัน แนวโน้มของนักลงทุนต่างชาติในขณะนี้เป็นเม็ดเงินที่เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น และขายออกไป ขณะที่เม็ดเงินลงทุนระยะยาวของนักลงทุนต่างชาติยังอยู่ระดับปกติที่ 32% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ของตลาดหุ้นไทยที่ 13 ล้านล้านบาท
ด้านนักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ยอมรับว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมาที่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 14 เดือน จากการปรับลดลงของตลาดหุ้นจีน ส่วนตัวเลขการส่งออกที่หดตัวเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันของไทย ทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลว่าเศรษฐกิจไทยอาจยังไม่ผ่านจุดต่ำสุด ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกยังกดดันความเชื่อมั่น เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังจะเริ่มการประชุมนโยบายการเงินและตลาด คาดว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนกันยายนนี้
โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงแรงตามการลดลงของตลาดหุ้นจีนที่ลดลง 8% ซึ่งเป็นอัตราที่มากที่สุดในรอบ 1 วัน นับตั้งแต่ปี 2007 ทำให้ตลาดหุ้น DJIA ลดลงมาที่ระดับต่ำที่สุด นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ส่วน S&P500 ร่วงเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน ประกอบกับนักลงทุนคาดว่าการประกาศผลกำไรไตรมาส 2 จะออกมาแย่ ทำให้มีการปรับลดลงของราคาหุ้นที่มี P/E สูง ขณะที่ค่าเงินบาทปรับลดลง 0.09% มาที่ 34.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเงินบาทเคลื่อนไหวสวนทางกับสกุลเงินเอเชียอื่นๆ เนื่องจากนักลงทุนชะลอการขายเงินบาท
ปัจจัยที่ต้องติดตามในวันนี้ ได้แก่ จีดีพีไตรมาส 2 ของสหราชอาณาจักร ราคาบ้าน และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (ภาคบริการ) ของสหรัฐฯ