ความกังวลต่อสถานการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยช่วงกันยายน กดดันราคาทองคำ และตลาดหุ้นร่วงต่อเนื่อง หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐส่งสัญญาณแข็งค่าตลอด ทุบราคาทองคำวิ่งสร้างจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 5 ปี ประเมินยังเห็นแต่การปรับลดของราคา ส่วนหุ้นวอลุ่มยังเบาบางต่อเนื่อง เหตุกลุ่มหลักอย่างพลังงานไม่ฟื้นตัว แถมผลดำเนินงานไตรมาส 2 บริษัทจดทะเบียนไม่เป็นตามเป้า อีกทั้งเฟดจ่อทุบดัชนีร่วงต่อ
นายธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำในช่วงนี้ว่า ราคาทองยังอยู่ในช่วงขาลงเนื่องจากถูกกดดันจากปัจจัยลบ โดยเฉพาะกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า ประกอบกับกองทุนทองคำขนาดใหญ่ SPDR มีการลดการถือครองทองคำลงอีก 23 ตัน ถือเป็นการถือครองทองคำที่ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่แรงซื้อจากประเทศจีน อินเดีย นั้นกลับมีลดลงเพราะภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ราคาทองยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยประเมินแนวรับแรกที่ 1,085 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และแนวรับต่อไปที่ 1,050 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
ส่วนราคาทองคำในประเทศเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ 18,000 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดของปี เมื่อเดือนมีนาคม ที่ 17,850 บาท โดยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าประมาณ 34.91 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มีส่วนทำให้ราคาทองคำในประเทศไม่ลดลงมากนัก ดังนั้น คำแนะนำการลงทุนในช่วงนี้ ควรลงทุนแค่ระยะสั้นเท่านั้น หากราคาทองขึ้นไปทดสอบที่ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ให้ขายทำกำไร
ด้าน นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ราคาทองได้รับแรงกดดันหลังนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด เน้นย้ำในการแถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีการขยายตัว และระบุว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
สอดคล้องต่อ นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ ที่เห็นว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน โดยมองว่ามีโอกาสเป็นไปได้ 50% ซึ่งสอดคล้องต่อการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้นักลงทุนมีแนวโน้มลดการถือครองทองคำ และหันไปซื้อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมถึงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น ประเมินว่าราคาทองแนวโน้มหลักยังแกว่งตัวอยู่ในช่วงขาลง จากแนวต้านสัญญาณ DEAD CROSS ยังคงกดดันอยู่ ทำให้ราคาทองปรับลงต่อ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการลงจะไม่แรงมาก และมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นหลังจากเจอแรงหนุนภาวะลงแรงมากเกินไป และค่าสัญญาณ RSI ลงมาในเขต OVER SOLD อย่างมาก แต่จะปรับขึ้นไม่มากเนื่องจากแนวโน้มลงยังกดดันอยู่ แนวรับ 1,075-1,070 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ แนวต้าน 1,115-1,120 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
นายวรุต รุ่งขำ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,077.90-1,091.36 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 18,000 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวลดลง 200 บาทนั้นถือว่า ราคาทองคำตลาดโลกดิ่งลงใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2010 โดยการดิ่งลงนี้เป็นการอ่อนตัวลงแตะระดับต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบกว่า 5 ปี อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะร่วงลงอย่างต่อเนื่องทำให้นักลงทุนชะลอการเข้าสะสมทองคำเพิ่มเติม ประกอบกับความกังวลว่า เฟดใกล้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หนุนให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสปรับตัวขึ้นค่าขึ้นต่อไปได้อีก
ดังนั้น ในระยะสั้นราคาทองคำมีลักษณะการดีดตัวในลักษณะ Technical Rebound เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวลงมามากในระดับหนึ่งแล้ว โดยประเมินโซนแนวต้านที่ 1,090-1,100 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ แต่หากราคาอ่อนตัวลงหลุดแนวรับ 1,070 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ น่าจะเห็นการปรับตัวลงต่อโดนประเมินแนวรับถัดไปที่ 1,060 หรือ 1,050 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งนักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น และถ้าหากหลุดบริเวณดังกล่าวจำเป็นต้องตัดขาดทุน
กังวลเฟดขึ้น ดบ.ยังกดดันหุ้นขาลง
ด้านทิศทางตลาดหุ้นไทย หลังจากวันศุกร์ที่ผ่านมา (24 ก.ค.) ปิดตลาดที่ระดับ 1,438.08 จุด ลดลง 6.58 จุด หรือ -0.46% มูลค่าการซื้อขาย 28,601.89 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบนั้น นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงกันหมด ยกเว้นตลาดฟิลิปปินส์ จากความกังวลว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เริ่มทยอยประกาศออกมาก็ไม่ได้ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งเงินบาทก็อ่อนค่ามากกว่าที่เคยมองกันไว้ และกลุ่มพลังงานปรับตัวลงด้วยจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงไป
“ขณะนี้ต่างก็รอดูว่าเมื่อไรจะมีข่าวดีสู่ตลาด ดังนั้น ช่วงนี้นักลงทุนจึงเป็นลักษณะของการเล่นสั้นๆ วอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมจึงมีไม่มาก และคาดว่าดัชนีจะยังแกว่งแบบ Sideway Down ซึ่งสิ่งที่ต้องติดตามจากนี้ คือ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจะมีการประชุมเฟด อีกทั้งจะมีการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ถือเป็นเรื่องหลักที่ต้องจับตาดู รวมไปถึงจะต้องติดตามแนวโน้มในเรื่องของการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ได้มีข่าวดีเข้ามาทำให้ตลาดฯ มีโอกาสที่จะซึมตัวลงเรื่อยๆ”
ด้านนายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้จะเป็นขาลง เป็นผลจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตได้ไม่เกิน 3% ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังรอความชัดเจนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยจริงจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยที่มีโอกาสปรับตัวลงต่อไปอีกในระยะสั้น หรือประมาณ 2 เดือน โดยประเมินดัชนีช่วงสั้นจะอยู่ที่ระดับ 1,400-1,420 จุด ขณะที่ทั้งปีมองดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,480 จุด บนสมมติฐานกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เติบโตได้ 15%
“เรามองว่าการเข้าซื้อหุ้นในขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะ หรืออาจจะไม่ดีนัก มองเป็นการทยอยซื้อ และรอจังหวะเข้าซื้อเก็บจะดีกว่า จากภาวะตลาดที่ยังเป็นลักษณะขาลง โดยปีนี้จะอยู่ที่ 1,480 จุด และ EPS Growth เติบโต 15% ซึ่งตลาดยังรอการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะเข้ามาผลักดันให้ตลาดปรับขึ้นไปได้ แนะนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นหลังมั่นใจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจริง”
นายธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำในช่วงนี้ว่า ราคาทองยังอยู่ในช่วงขาลงเนื่องจากถูกกดดันจากปัจจัยลบ โดยเฉพาะกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า ประกอบกับกองทุนทองคำขนาดใหญ่ SPDR มีการลดการถือครองทองคำลงอีก 23 ตัน ถือเป็นการถือครองทองคำที่ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่แรงซื้อจากประเทศจีน อินเดีย นั้นกลับมีลดลงเพราะภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ราคาทองยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยประเมินแนวรับแรกที่ 1,085 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ และแนวรับต่อไปที่ 1,050 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
ส่วนราคาทองคำในประเทศเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ที่ 18,000 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดของปี เมื่อเดือนมีนาคม ที่ 17,850 บาท โดยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าประมาณ 34.91 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มีส่วนทำให้ราคาทองคำในประเทศไม่ลดลงมากนัก ดังนั้น คำแนะนำการลงทุนในช่วงนี้ ควรลงทุนแค่ระยะสั้นเท่านั้น หากราคาทองขึ้นไปทดสอบที่ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ให้ขายทำกำไร
ด้าน นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ราคาทองได้รับแรงกดดันหลังนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด เน้นย้ำในการแถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีการขยายตัว และระบุว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
สอดคล้องต่อ นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ ที่เห็นว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน โดยมองว่ามีโอกาสเป็นไปได้ 50% ซึ่งสอดคล้องต่อการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้นักลงทุนมีแนวโน้มลดการถือครองทองคำ และหันไปซื้อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมถึงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น ประเมินว่าราคาทองแนวโน้มหลักยังแกว่งตัวอยู่ในช่วงขาลง จากแนวต้านสัญญาณ DEAD CROSS ยังคงกดดันอยู่ ทำให้ราคาทองปรับลงต่อ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการลงจะไม่แรงมาก และมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นหลังจากเจอแรงหนุนภาวะลงแรงมากเกินไป และค่าสัญญาณ RSI ลงมาในเขต OVER SOLD อย่างมาก แต่จะปรับขึ้นไม่มากเนื่องจากแนวโน้มลงยังกดดันอยู่ แนวรับ 1,075-1,070 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ แนวต้าน 1,115-1,120 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
นายวรุต รุ่งขำ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,077.90-1,091.36 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 18,000 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวลดลง 200 บาทนั้นถือว่า ราคาทองคำตลาดโลกดิ่งลงใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2010 โดยการดิ่งลงนี้เป็นการอ่อนตัวลงแตะระดับต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบกว่า 5 ปี อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะร่วงลงอย่างต่อเนื่องทำให้นักลงทุนชะลอการเข้าสะสมทองคำเพิ่มเติม ประกอบกับความกังวลว่า เฟดใกล้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หนุนให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสปรับตัวขึ้นค่าขึ้นต่อไปได้อีก
ดังนั้น ในระยะสั้นราคาทองคำมีลักษณะการดีดตัวในลักษณะ Technical Rebound เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวลงมามากในระดับหนึ่งแล้ว โดยประเมินโซนแนวต้านที่ 1,090-1,100 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ แต่หากราคาอ่อนตัวลงหลุดแนวรับ 1,070 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ น่าจะเห็นการปรับตัวลงต่อโดนประเมินแนวรับถัดไปที่ 1,060 หรือ 1,050 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งนักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น และถ้าหากหลุดบริเวณดังกล่าวจำเป็นต้องตัดขาดทุน
กังวลเฟดขึ้น ดบ.ยังกดดันหุ้นขาลง
ด้านทิศทางตลาดหุ้นไทย หลังจากวันศุกร์ที่ผ่านมา (24 ก.ค.) ปิดตลาดที่ระดับ 1,438.08 จุด ลดลง 6.58 จุด หรือ -0.46% มูลค่าการซื้อขาย 28,601.89 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบนั้น นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงกันหมด ยกเว้นตลาดฟิลิปปินส์ จากความกังวลว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เริ่มทยอยประกาศออกมาก็ไม่ได้ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งเงินบาทก็อ่อนค่ามากกว่าที่เคยมองกันไว้ และกลุ่มพลังงานปรับตัวลงด้วยจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงไป
“ขณะนี้ต่างก็รอดูว่าเมื่อไรจะมีข่าวดีสู่ตลาด ดังนั้น ช่วงนี้นักลงทุนจึงเป็นลักษณะของการเล่นสั้นๆ วอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมจึงมีไม่มาก และคาดว่าดัชนีจะยังแกว่งแบบ Sideway Down ซึ่งสิ่งที่ต้องติดตามจากนี้ คือ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจะมีการประชุมเฟด อีกทั้งจะมีการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ถือเป็นเรื่องหลักที่ต้องจับตาดู รวมไปถึงจะต้องติดตามแนวโน้มในเรื่องของการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยว่าจะเกิดขึ้นหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ได้มีข่าวดีเข้ามาทำให้ตลาดฯ มีโอกาสที่จะซึมตัวลงเรื่อยๆ”
ด้านนายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้จะเป็นขาลง เป็นผลจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตได้ไม่เกิน 3% ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังรอความชัดเจนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยจริงจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยที่มีโอกาสปรับตัวลงต่อไปอีกในระยะสั้น หรือประมาณ 2 เดือน โดยประเมินดัชนีช่วงสั้นจะอยู่ที่ระดับ 1,400-1,420 จุด ขณะที่ทั้งปีมองดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,480 จุด บนสมมติฐานกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เติบโตได้ 15%
“เรามองว่าการเข้าซื้อหุ้นในขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะ หรืออาจจะไม่ดีนัก มองเป็นการทยอยซื้อ และรอจังหวะเข้าซื้อเก็บจะดีกว่า จากภาวะตลาดที่ยังเป็นลักษณะขาลง โดยปีนี้จะอยู่ที่ 1,480 จุด และ EPS Growth เติบโต 15% ซึ่งตลาดยังรอการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะเข้ามาผลักดันให้ตลาดปรับขึ้นไปได้ แนะนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นหลังมั่นใจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจริง”