ตลาดทุนระบุ ปรับ ครม.ต้องเน้นเรียกความเชื่อมั่นได้ ยอมรับหลายปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน สะท้อนภาวะหุ้นไทย
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวว่า ภาวะตลาดทุนที่ปรับตัวลงตามศักยภาพเศรษฐกิจร้อยละ 2-3 ส่งผลให้กำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลงร้อยละ 8-9 จากต้นปีที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 10-15% ทำให้ประเมินดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครึ่งปีหลังอยู่ในกรอบ 1,450-1,600 จุด โดยภาพรวมเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่ได้รับผลกระทบโดยรวมทั่วโลก โดยเฉพาะในส่วนของภาคการส่งออกของประเทศไทย ที่เกิดปัญหาการส่งออกลดลง ทำให้กระทบกับบริษัทจดทะเบียน อีกทั้งดัชนีผู้บริโภคหรือ GDP ไม่เติบโตตามเป้าที่วางไว้
แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนยังคงดีอยู่ หากสถานการณ์ในระยะสั้นของการเมืองและเศรษฐกิจยังอยู่ในสภาวะทรงตัว ในขณะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง จะทำให้คนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น รอโอกาสในช่วงเวลาหลังจากนี้ที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้น
ขณะที่ในส่วนของทองคำไม่ใช่สินทรัพย์มั่นคงอีกต่อไป ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในพันธบัตรบางประเภทเพิ่มมากขึ้น ส่วนน้ำมันไม่มีทีท่าว่าจะปรับตัวขึ้นเนื่องจากเชลล์ออยล์ของสหรัฐอเมริกายังคงมีอิทธิพลในตลาดพลังงานอยู่ และเศรษฐกิจโดยรวมทั่วโลกยังไม่ปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการเลือกลงทุนในทริกเกอร์ฟันด์ เป็นการเลือกลงทุนในจังหวะขาขึ้น ได้หากหุ้นยังไม่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมา ก็ไม่ควรเข้าไปเลือกลงทุนในทริกเกอร์ฟันด์ แต่เลือกลงทุนในกองทุนธรรมดาที่มีความคุ้มค่า และมีความเสี่ยงน้อยจะดีกว่า
ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการ บริหาร บล.เอเชียพลัส กล่าวถึงกระแสการปรับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่า แม้จะมีการปรับ ครม. แต่ปัญหาที่แก้ยังเป็นปัญหาสะสมระยะยาว ซึ่งต้องใช้เวลาสะสาง สิ่งสำคัญอยู่ที่แนวทางในการแก้ปัญหาว่าจะแตกต่างกันอย่างไร หากรัฐมนตรีใหม่เข้ามาแล้วแก้ปัญหาแบบ “ปะผุ” คงไม่มีประโยชน์ เพราะปัญหายังอยู่ การแก้ปัญหาตอนนี้ต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ทั้งจากนักลงทุน และภาคเอกชน เห็นว่ารัฐบาลควรออกมาตรการเป็นแพกเกจ
ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยเป็นปรับฐานจากผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ดี บวกกับปัจจัยลบหลายอย่าง จึงกดดันให้จีดีพีปีนี้จะโตต่ำกว่าร้อยละ 3 ซึ่งคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในช่วงแคบต่อไป เพราะหุ้นไทยไม่เป็นที่สนใจของต่างชาติ ทำให้เงินลงทุนไหลออกไปลงทุนที่สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น
ด้านนายพีรพงศ์ จีระเสวีจินดา กรรมการผู้จัดการกลุ่มจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้แกว่งในช่วงแคบ เพื่อรอรับรู้ผลประกอบการไตรมาส 2 ให้หมดในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ โดยช่วงนี้ บลจ.บัวหลวงจึงเน้นการถือเงินสดมากขึ้น จากช่วงปกติถือเงินร้อยละ 5-6 เป็นร้อยละ 10 เพื่อรอเข้าซื้อหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยคาดว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว สุขภาพ โรงพยาบาล ที่มีอัตราการเติบโต ถึงแม้สภาวะหุ้นตกในช่วงนี้ แต่ยังเห็นนักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อกองทุน LTF, RMF และกองทุนหุ้น ซึ่งประครองตลาดหุ้นให้ไม่ต่ำลงไปมาก
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวว่า ภาวะตลาดทุนที่ปรับตัวลงตามศักยภาพเศรษฐกิจร้อยละ 2-3 ส่งผลให้กำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลงร้อยละ 8-9 จากต้นปีที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 10-15% ทำให้ประเมินดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครึ่งปีหลังอยู่ในกรอบ 1,450-1,600 จุด โดยภาพรวมเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่ได้รับผลกระทบโดยรวมทั่วโลก โดยเฉพาะในส่วนของภาคการส่งออกของประเทศไทย ที่เกิดปัญหาการส่งออกลดลง ทำให้กระทบกับบริษัทจดทะเบียน อีกทั้งดัชนีผู้บริโภคหรือ GDP ไม่เติบโตตามเป้าที่วางไว้
แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนยังคงดีอยู่ หากสถานการณ์ในระยะสั้นของการเมืองและเศรษฐกิจยังอยู่ในสภาวะทรงตัว ในขณะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง จะทำให้คนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น รอโอกาสในช่วงเวลาหลังจากนี้ที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้น
ขณะที่ในส่วนของทองคำไม่ใช่สินทรัพย์มั่นคงอีกต่อไป ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในพันธบัตรบางประเภทเพิ่มมากขึ้น ส่วนน้ำมันไม่มีทีท่าว่าจะปรับตัวขึ้นเนื่องจากเชลล์ออยล์ของสหรัฐอเมริกายังคงมีอิทธิพลในตลาดพลังงานอยู่ และเศรษฐกิจโดยรวมทั่วโลกยังไม่ปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการเลือกลงทุนในทริกเกอร์ฟันด์ เป็นการเลือกลงทุนในจังหวะขาขึ้น ได้หากหุ้นยังไม่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมา ก็ไม่ควรเข้าไปเลือกลงทุนในทริกเกอร์ฟันด์ แต่เลือกลงทุนในกองทุนธรรมดาที่มีความคุ้มค่า และมีความเสี่ยงน้อยจะดีกว่า
ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการ บริหาร บล.เอเชียพลัส กล่าวถึงกระแสการปรับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่า แม้จะมีการปรับ ครม. แต่ปัญหาที่แก้ยังเป็นปัญหาสะสมระยะยาว ซึ่งต้องใช้เวลาสะสาง สิ่งสำคัญอยู่ที่แนวทางในการแก้ปัญหาว่าจะแตกต่างกันอย่างไร หากรัฐมนตรีใหม่เข้ามาแล้วแก้ปัญหาแบบ “ปะผุ” คงไม่มีประโยชน์ เพราะปัญหายังอยู่ การแก้ปัญหาตอนนี้ต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ทั้งจากนักลงทุน และภาคเอกชน เห็นว่ารัฐบาลควรออกมาตรการเป็นแพกเกจ
ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยเป็นปรับฐานจากผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ดี บวกกับปัจจัยลบหลายอย่าง จึงกดดันให้จีดีพีปีนี้จะโตต่ำกว่าร้อยละ 3 ซึ่งคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในช่วงแคบต่อไป เพราะหุ้นไทยไม่เป็นที่สนใจของต่างชาติ ทำให้เงินลงทุนไหลออกไปลงทุนที่สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น
ด้านนายพีรพงศ์ จีระเสวีจินดา กรรมการผู้จัดการกลุ่มจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้แกว่งในช่วงแคบ เพื่อรอรับรู้ผลประกอบการไตรมาส 2 ให้หมดในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ โดยช่วงนี้ บลจ.บัวหลวงจึงเน้นการถือเงินสดมากขึ้น จากช่วงปกติถือเงินร้อยละ 5-6 เป็นร้อยละ 10 เพื่อรอเข้าซื้อหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยคาดว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว สุขภาพ โรงพยาบาล ที่มีอัตราการเติบโต ถึงแม้สภาวะหุ้นตกในช่วงนี้ แต่ยังเห็นนักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อกองทุน LTF, RMF และกองทุนหุ้น ซึ่งประครองตลาดหุ้นให้ไม่ต่ำลงไปมาก