คนในวงการตลาดทุนชี้การปรับ ครม.ทีมเศรษฐกิจ ต้องเน้นเรียกความเชื่อมั่นได้ ระบุ รมว.คนใหม่เข้ามาแล้วแก้ปัญหาแบบปะผุ คงไม่มีประโยชน์ แนะต้องออกมาตรการชุดใหญ่โดยจัดเป็นแพกเกจ ยอมรับหลายปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส กล่าวถึงกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ โดยมองว่า แม้จะมีการปรับ ครม. แต่ปัญหาที่แก้ยังเป็นปัญหาสะสมระยะยาวซึ่งต้องใช้เวลาสะสาง สิ่งสำคัญอยู่ที่แนวทางในการแก้ปัญหาว่าจะแตกต่างกันอย่างไร หากรัฐมนตรีใหม่เข้ามาแล้วแก้ปัญหาแบบ “ปะผุ” คงไม่มีประโยชน์ เพราะปัญหายังอยู่ การแก้ปัญหาตอนนี้ต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ทั้งจากนักลงทุน และภาคเอกชน เห็นว่ารัฐบาลควรออกมาตรการเป็นแพกเกจ
ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยเป็นปรับฐานจากผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ดี บวกกับปัจจัยลบหลายอย่าง จึงกดดันให้จีดีพีปีนี้จะโตต่ำกว่าร้อยละ 3 ซึ่งคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในช่วงแคบต่อไป เพราะหุ้นไทยไม่เป็นที่สนใจของต่างชาติ ทำให้เงินลงทุนไหลออกไปลงทุนที่สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น
นายพีรพงศ์ จีระเสวีจินดา กรรมการผู้จัดการกลุ่มจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้แกว่งในช่วงแคบเพื่อรอรับรู้ผลประกอบการไตรมาส 2 ให้หมดในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ โดยช่วงนี้ บลจ.บัวหลวง จึงเน้นการถือเงินสดมากขึ้น จากช่วงปกติถือเงินร้อยละ 5-6 เป็นร้อยละ 10 เพื่อรอเข้าซื้อหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยคาดว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว สุขภาพ โรงพยาบาลที่มีอัตราการเติบโต ถึงแม้สภาวะหุ้นตกในช่วงนี้ แต่ยังเห็นนักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อกองทุน LTF, RMF และกองทุนหุ้น ซึ่งประคองตลาดหุ้นให้ไม่ต่ำลงไปมาก
ด้าน นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวว่า ภาวะตลาดปรับตัวลงตามศักยภาพเศรษฐกิจร้อยละ 2-3 กำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ร้อยละ 8-9 ลดลงจากต้นปีที่คาดการณ์ร้อยละ 10-15 ทำให้ประเมินดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครึ่งปีหลังอยู่ในกรอบ 1,450-1,600 จุด