“บล.เอเชีย เวลท์” หั่นเป้าจีดีพีลงเหลือ 3% ระบุปัจจัยภัยแล้ง และภาคส่งออกกดดันการฟื้นตัว ศก.ไทย พร้อมมองปัญหากรีซมีโอกาสคลี่คลาย แนะติดตามผลประกอบการ บจ. ทั้งสหรัฐฯ และไทย ชี้หากเฟดปรับขึ้น ดบ. เงินทุนโลกจะเคลื่อนย้ายกลับไปเป็นที่ควรจะเป็นมากขึ้น
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับสัปดาห์นี้ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือกรีซ หลังจากที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรเยอรมนี มีมติเห็นชอบให้มีการเริ่มเจรจาให้ความช่วยเหลือทางการเงินรอบที่ 3 ต่อกรีซ และช่วยประคับประคองให้กรีซไม่ต้องออกจากยูโร ซึ่งในต้นสัปดาห์นี้ ธนาคารทั้งหมดในกรีซกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง แต่มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนยังคงอยู่ แต่เปลี่ยนการถอนเงินฝากไปเป็นได้ไม่เกิน 420 ยูโรต่อสัปดาห์แทนวันละไม่เกิน 60 ยูโรต่อวัน ซึ่งจากความคืบหน้านี้น่าจะส่งผลให้ต่อไปนี้ปัญหากรีซจะไม่กระทบต่อประเทศในกลุ่มยูโรเท่าไรนักแล้ว และทำให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นได้
ด้านสหรัฐฯ สัปดาห์นี้ยังคงต้องติดตามการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนกันต่อไป หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ออกมาดี เช่น Citigroup, Ebay และ Google แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ คาดว่า ผลประกอบการโดยรวมน่าจะออกมาไม่ดีนัก นอกจากนี้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ได้ส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ ในช่วงกันยายนถึงปลายปีนี้
“หาก Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วตลาดจะหมดความกังวลในเรื่องนี้ แต่คาดว่ากระแสเงินจะไหลออกจากตลาดหุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งกลับไปลงทุนในสหรัฐฯ หรือไปอยู่ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้น การเคลื่อนย้ายกระแสเงินทุนโลกจะกลับไปเป็นอย่างที่ควรเป็นมากขึ้น คือ Fundamental driven หรือไหลไปในสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และราคาถูก แทนที่จะไหลตาม Liquidity driven” นายวรุตม์ กล่าว
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเช่นกัน ซึ่งคาดว่าภาคธนาคารน่าจะออกมาไม่ค่อยดีนัก จากตัวเลขหนี้สงสัยจะสูญ (NPL) ที่สูงขึ้น เนื่องจากธนาคารส่วนใหญ่ให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ SME และในช่วงที่ผ่านมา ภาคการส่งออกค่อนข้างแย่ โดยเรามองว่าสำหรับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ โดยรวมน่าจะออกมาเสมอตัว หรือดีกว่าเดิมเล็กน้อยในไตรมาสที่ 2
“ปัญหาภัยแล้งเป็นปัญหาใหญ่ และน่าจะกระทบต่อภาคเกษตรกรรมอย่างยิ่ง อนึ่ง ภาคเกษตรกรรมของไทยคิดเป็น 12% ของ GDP ประเทศ ซึ่งครึ่งปีแรกติดลบไปแล้ว 4.2-4.3% และคาดว่าทั้งปีจะติดลบ 6% ส่วนภาคที่ไม่ใช่เกษตรกรรมที่คิดเป็น 88% ของ GDP คาดว่าจะเติบโต 4.2-4.5% เพราะภาครัฐเร่งเงินลงทุน ซึ่งตรงนี้ถ้ายิ่งโตได้มากขนาดไหนจะช่วยให้ GDP ขยายตัวได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันปัญหาภัยแล้ง และตัวเลขการส่งออกที่ไม่ดี ทำให้สถาบันต่างๆ เริ่มปรับลดประมาณการ GDP ลง โดย ล่าสุด บล.เอเชีย เวลท์ ก็ได้ปรับลดประมาณการ GDP ลงจาก 3.8% เป็น 3%” นายวรุตม์ กล่าว
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านตลาดหุ้นไทยน่าจะผันผวนอยู่แบบนี้ ถ้าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ และในประเทศออกมาดีก็น่าจะพอไปได้ แต่คงไม่ได้ไกล เพราะยังมีปัจจัยเรื่องภัยแล้ง และการปรับหรือไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed อยู่ โดยมองกรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ 1,472-1,491 จุด
“ด้าน Trading idea สัปดาห์นี้เราเลือก LPN ของ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ธุรกิจเน้นขายคอนโดแนวรถไฟฟ้า ทำให้ขายได้คล่อง และมีราคาทุกระดับ โดยในปีนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า การเติบของกำไรที่ระดับ 38.5% และชะลอตัวปีหน้าที่ 9% โดย LPN มีจุดเด่นที่มี Dividend yield สูงที่ 5.3% และปีหน้าที่ 5.8% และปัจจุบันเทรดที่ P/E ratio ค่อนข้างต่ำที่ระดับ 9.5 เท่า อีกทั้งยังเป็นหุ้น Valuation และพื้นฐานดี โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 20.82 บาท (Bloomberg consensus)” นายวรุตม์ กล่าว
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้แนะนำให้เน้นหุ้น Defensive และหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง มี Book value ต่ำ และมีค่าเบต้าบวกเล็กน้อย จะได้ไม่ลงต่ำกว่าตลาด โดยเน้นเลือกหุ้นที่มี Theme ที่ Turnaround เช่น PTTGC และ WORK หรืออยู่ใน Sector ที่เติบโต เช่น กลุ่มท่องเที่ยวที่มี Upside และมี Downside risk ต่ำ ตลอดทั้งหุ้นปันผลดี เช่น INTUCH และ BTS