xs
xsm
sm
md
lg

เสนาเดินแผนร่วมทุนพันธมิตรขยายธุรกิจ ล่าสุด จับมือไอร่า-แสงฟ้ารุกตลาดสำนักงาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์
เสนาฯ เดินหน้าจับมือพันธมิตรขยายธุรกิจ ล่าสุด จับมือ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ และแสงฟ้าก่อสร้าง รุกธุรกิจอาคารสำนักงาน ตั้งเป้า 5 ปี ผุดไม่น้อยกว่า 5 โครงการ มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท ระบุอาคารสำนักงานเติบโตต่อเนื่อง อัตราเช่าเกิน 85% อนาคตเล็งขายเข้ากองทรัสต์นำเงินลงทุนต่อ เผยเจรจาผู้ร่วมทุนอีก 2 ราย พลังงานทดแทน กองทุนญี่ปุ่นผุดคอนโด

น.ส.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ในการร่วมลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมถึงธุรกิจที่ต่อยอดกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นการขยายการลงทุน และกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งเป็นกลไกการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากในภาวะที่เศรษฐกิจมีความผันผวน ทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

“ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรใหม่อีก 2 ราย ทั้งใน และต่างประเทศในการร่วมพันธมิตรทางธุรกิจ โดยรายแรกเป็นธุรกิจด้านพลังงานทดแทน และอีกรายเป็นกองทุนจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อร่วมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม คาดว่าจะมีการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจภายในสิ้นปีนี้” น.ส.เกษรา กล่าว

และจากนโยบายกระจายความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจ และบริหารรายได้ บริษัทจึงต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำให้อยู่ในระดับ 10% โดยบริษัทเตรียมขยายการลงทุนอาคารสำนักงานให้เช่า และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว ด้วยการเข้าร่วมทุนกับบริษัท ไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) มีธุรกิจหลักด้านเงินทุน และบริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารสูงมากว่า 40 ปี

หลังจากนี้จะทำการก่อตั้งบริษัทลูกขึ้นมา โดยไอร่า พร็อพเพอร์ตี้ ที่มีตระกูลจุฬางกูร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยมีเป้าหมายภายใน 5 ปี จะพัฒนาโครงการไม่น้อยกว่า 5 โครงการ มูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีการลงทุนอย่างน้อย 1 โครงการ บนที่ดินเช่าระยะยาว ส่วนงบลงทุน คาดว่าจะเกิน 2 พันล้านบาท ขณะที่ทำเลที่ตั้งคาดการณ์กันว่าจะเป็นแปลงที่ดินบริเวณถนนราชเทวี ซึ่งปัจจุบันเป็นของตระกูลจุฬางกูร

ทั้งนี้ ธุรกิจอาคาสำนักงานให้เช่าเป็นธุรกิจที่น่าลงทุนที่สุดในปัจจุบัน ที่พร้อมเปิดรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ซึ่งหากดูจากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พื้นที่สำนักงานให้เช่าในทุกเกรด ทุกทำเลในกรุงเทพฯ มีอัตราการใช้พื้นที่เกิน 85% ยิ่งถ้าอยู่ในใจกลางเมืองจะยิ่งมีอัตราการเช่าเกิน 90% ขณะที่ราคาค่าเช่าพื้นที่สำนักงานในไทยยังต่ำ และหากพัฒนาอาคารสำนักงานในเมือง นอกจากจะรองรับผู้เช่าคนไทย เออีซี และยังมีธุรกิจต่างชาติอื่นๆ อีก ดังนั้น ทำให้มองว่าธุรกิจนี้มีความเสี่ยงต่ำ และน่าสนใจที่สุดในเวลานี้ ซึ่งในอนาคตบริษัทมีแผนจะนำอาคารสำนักงานให้เช่าขายเข้ากองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้มีรายได้กลับเข้ามาขยายการลงทุนโครงการอื่นๆ ต่อไป

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้ประกาศความร่วมมือกับ 3 พันธมิตรรายใหญ่ไปแล้ว ได้แก่ บริษัท เฟิร์สโซล่าร์ จำกัด ผู้นำการผลิตโซลาร์เซลล์ระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา และบริษัท คอนฟิเดนท์ แคปปิตอล จำกัด ที่ปรึกษาทางการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศในการเข้าลงทุนธุรกิจโซลาร์รูฟ โดยตั้งเป้ากำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ ภายใน 12 เดือน

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือธุรกิจกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ในการขยายการลงทุนสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนโซลาร์ฟาร์มเพื่อต่อยอดธุรกิจ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการทำธุรกิจพลังงานทดแทนขนาดใหญ่ เพื่อสร้างอีโคโนมีออฟสเกล นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้บ้านในโครงการของเสนาด้วยโซลาร์รูฟท็อป

น.ส.เกษรา กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทมีนโยบายเพิ่มสัดส่วนรายได้การเช่าให้อยู่ในระดับ 10% เพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และบริหารรายได้ของบริษัท โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ในหลายรูปแบบ ทั้งสนามกอล์ฟที่พัทยา คอมมูนิตีมอลล์ ภายใต้ชื่อ เสนา เฟส ธุรกิจอพาร์ตเมนต์ รวมถึงโกดังให้เช่า และล่าสุด ต่อยอดไปที่ธุรกิจพลังงานทดแทนโซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์รูฟท็อป โดยที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1 มีรายได้อยู่ที่ 59.40 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12% ของรายได้ทั้งหมด

ส่วนแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2558 บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัว 5 โครงการ เป็นแนวราบ 4 โครงการ และคอนโดฯ 1 โครงการ โดยตั้งเป้าหมายรายได้ 3,000 ล้านบาท และยอดขายประมาณ 4,500 ล้านบาท ขณะที่สินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2559

สำหรับแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทำให้สถาบันการเงินคุมเข้มในการปล่อยสินเชื่อ และเป็นแรงส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ จำเป็นต้องระมัดระวังในการลงทุน ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยหันมาเจาะกลุ่มลูกค้า (Segment) มีกำลังซื้อสูง และผู้ประกอบการมีความชำนาญในตลาดนั้นๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น