ASTVผู้จัดการรายวัน – กลุ่มสหพัฒน์ร่วมทุนญี่ปุ่นโตคิว ช.การช่าง-โตกิว เปิดบริษัทลูก สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น รุกธุรกิจอสังหาฯ เผยตั้งงบลงทุนหลายหมื่นล้านเยนลงทุนระยะยาว เน้นอสังหาฯให้เช่า โรงแรม สำนักงาน ประเดิมโครงการแรก "HarmoniQ Residence Sriracha" 180 ยูนิต
นายวิชัย กุลสมภพ ตัวแทนผู้บริหารและผู้ถือหุ้นกลุ่มสหพัฒน์ และกรรมการ บริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่กลุ่มสหพัฒน์ ดำเนินธุรกิจในย่านศรีราชา มากกว่า 30 ปี มีการร่วมทุนกับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นมากมายหลากหลายธุรกิจ ทำให้ทราบความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างดี จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในย่านศรีราชา
ล่าสุดกลุ่มสหพัฒน์ ได้ร่วมกับ 2 บริษัทฯจากญี่ปุ่น คือ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท ช.การช่าง-โตกิว คอนสตรัคชั่น จำกัด ในการก่อตั้งบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ขึ้นมาเมื่อเดือนตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา ด้วยทุนจดทะเบียน 332 ล้านบาท โดยการร่วมทุนครั้งนี้กลุ่มสหพัฒน์ถือหุ้นสัดส่วน 50% กลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 45% และกลุ่มช.การช่าง-โตกิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 5% เพื่อพัฒนาโครงการ "HarmoniQ Residence Sriracha" ในรูปแบบเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ นำร่องเป็นโครงการแรก
ด้านนายอะคิโตะ โทบะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ-การเมือง แต่มองว่าเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย ไม่มีผลกระทบต่อการร่วมทุนในครั้งนี้แต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมามีชาวญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนและทำงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จากสถิติของสมาคมหอการค้าญี่ปุ่น เมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา พบว่า มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำงานและพักอาศัยในประเทศไทย 59,270 คน และเชื่อว่ายังมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำงานในประเทศไทยอีกอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังมีเม็ดเงินอีกหลายหมื่นล้านเยนในการร่วมทุนระยะยาวประมาณ 6 ปีกับกลุ่มสหพัฒน์ในประเทศไทย โดยมองว่าประเทศไทยเป็นฮับการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน จึงมีการร่วมทุนพัฒนาอสังหาฯกับกลุ่มสหพัฒน์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเน้นโครงการในรูปแบบให้เช่า ในย่านศรีราชา รวมไปถึงธุรกิจอื่นๆอีกในอนาคต
ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ที่กลุ่มโตคิวฯเข้ามาลงทุน (ไม่รวมการร่วมทุนกับกลุ่มช.การช่างฯเมื่อ 34ปีที่ผ่านมา และห้างสรรพสินค้าโตคิว เมื่อ 28 ปีที่ผ่านมา) จากก่อนหน้านี้เคยไปลงทุนพัฒนาอสังหาฯที่ฮาวาย-ซีแอทเทิลในสหรัฐฯเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และเวียดนาม เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา
“ประเทศไทยมีความน่าสนใจในการลงทุน ยิ่งได้พันธมิตรในการร่วมทุนที่ดี จึงมีโอกาสในการลงทุนระยะยาวในอนาคต และการที่เราสนใจร่วมทุนกับกลุ่มสหพัฒน์พัฒนาโครงการในรูปแบบการให้เช่า เพราะมองถึงการร่วมทุนกันในระยะยาว 30 ปี ทั้งในรูปแบบโครงการที่อยู่อาศัย โรงแรมและอาคารสำนักงาน โดยธุรกิจหลักของบริษัทที่ญี่ปุ่นคือการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟ แต่มีผลกำไรปีละประมาณ 34% น้อยกว่าธุรกิจอสังหาฯที่เป็นธุรกิจรอง แต่ให้ผลกำไรถึงปีละประมาณ 48.7% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 46% จะเป็นผลกำไรจากธุรกิจอื่นๆ”
สำหรับโครงการ "HarmoniQ Residence Sriracha" ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ มีจำนวน 3 คลัสเตอร์แต่ละคลัสเตอร์สูง 2 ชั้น ขนาด 110-130 ตารางเมตร จำนวน 180 ยูนิต ราคาเช่า 60,000-70,000 บาท/เดือน มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวญี่ปุ่น โดยเปิดให้จองในเดือนสิงหาคม และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้ ด้านการก่อสร้างจะเป็นเทคโนโลยีจาก SCG Heim และก่อสร้างโดยบริษัท ช.การช่าง-โตกิว คอนสตรัคชั่น จำกัด คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดในเดือนกันยายน 2559 ซึ่งมั่นใจว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 130-150 ล้านบาท/ปี และถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลา 9 ปี
นายวิชัย กุลสมภพ ตัวแทนผู้บริหารและผู้ถือหุ้นกลุ่มสหพัฒน์ และกรรมการ บริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่กลุ่มสหพัฒน์ ดำเนินธุรกิจในย่านศรีราชา มากกว่า 30 ปี มีการร่วมทุนกับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นมากมายหลากหลายธุรกิจ ทำให้ทราบความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างดี จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในย่านศรีราชา
ล่าสุดกลุ่มสหพัฒน์ ได้ร่วมกับ 2 บริษัทฯจากญี่ปุ่น คือ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท ช.การช่าง-โตกิว คอนสตรัคชั่น จำกัด ในการก่อตั้งบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ขึ้นมาเมื่อเดือนตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา ด้วยทุนจดทะเบียน 332 ล้านบาท โดยการร่วมทุนครั้งนี้กลุ่มสหพัฒน์ถือหุ้นสัดส่วน 50% กลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 45% และกลุ่มช.การช่าง-โตกิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 5% เพื่อพัฒนาโครงการ "HarmoniQ Residence Sriracha" ในรูปแบบเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ นำร่องเป็นโครงการแรก
ด้านนายอะคิโตะ โทบะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ-การเมือง แต่มองว่าเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย ไม่มีผลกระทบต่อการร่วมทุนในครั้งนี้แต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมามีชาวญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนและทำงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จากสถิติของสมาคมหอการค้าญี่ปุ่น เมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา พบว่า มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำงานและพักอาศัยในประเทศไทย 59,270 คน และเชื่อว่ายังมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำงานในประเทศไทยอีกอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังมีเม็ดเงินอีกหลายหมื่นล้านเยนในการร่วมทุนระยะยาวประมาณ 6 ปีกับกลุ่มสหพัฒน์ในประเทศไทย โดยมองว่าประเทศไทยเป็นฮับการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน จึงมีการร่วมทุนพัฒนาอสังหาฯกับกลุ่มสหพัฒน์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเน้นโครงการในรูปแบบให้เช่า ในย่านศรีราชา รวมไปถึงธุรกิจอื่นๆอีกในอนาคต
ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ที่กลุ่มโตคิวฯเข้ามาลงทุน (ไม่รวมการร่วมทุนกับกลุ่มช.การช่างฯเมื่อ 34ปีที่ผ่านมา และห้างสรรพสินค้าโตคิว เมื่อ 28 ปีที่ผ่านมา) จากก่อนหน้านี้เคยไปลงทุนพัฒนาอสังหาฯที่ฮาวาย-ซีแอทเทิลในสหรัฐฯเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และเวียดนาม เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา
“ประเทศไทยมีความน่าสนใจในการลงทุน ยิ่งได้พันธมิตรในการร่วมทุนที่ดี จึงมีโอกาสในการลงทุนระยะยาวในอนาคต และการที่เราสนใจร่วมทุนกับกลุ่มสหพัฒน์พัฒนาโครงการในรูปแบบการให้เช่า เพราะมองถึงการร่วมทุนกันในระยะยาว 30 ปี ทั้งในรูปแบบโครงการที่อยู่อาศัย โรงแรมและอาคารสำนักงาน โดยธุรกิจหลักของบริษัทที่ญี่ปุ่นคือการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟ แต่มีผลกำไรปีละประมาณ 34% น้อยกว่าธุรกิจอสังหาฯที่เป็นธุรกิจรอง แต่ให้ผลกำไรถึงปีละประมาณ 48.7% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 46% จะเป็นผลกำไรจากธุรกิจอื่นๆ”
สำหรับโครงการ "HarmoniQ Residence Sriracha" ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ มีจำนวน 3 คลัสเตอร์แต่ละคลัสเตอร์สูง 2 ชั้น ขนาด 110-130 ตารางเมตร จำนวน 180 ยูนิต ราคาเช่า 60,000-70,000 บาท/เดือน มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวญี่ปุ่น โดยเปิดให้จองในเดือนสิงหาคม และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้ ด้านการก่อสร้างจะเป็นเทคโนโลยีจาก SCG Heim และก่อสร้างโดยบริษัท ช.การช่าง-โตกิว คอนสตรัคชั่น จำกัด คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดในเดือนกันยายน 2559 ซึ่งมั่นใจว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 130-150 ล้านบาท/ปี และถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลา 9 ปี