ซันไทยอุตสาหกรรมฯ ยันปีนี้ฟื้นกำไร ตั้งเป้าเทรดหมวดปกติไตรมาสแรกปี 59 เดินหน้าแผนเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิต ลดต้นทุน พร้อมจับมือพันธมิตร Utilities Investment Management ขยายตลาด มั่นใจไตรมาส 2 เห็นแนวโน้มผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น เตรียมเพิ่มทุนอีก 600 ล้านบาทปลายปีนี้ รองรับการปรับปรุงฐานะการเงินของกิจการ และสร้างการเติบโตทางธุรกิจ
นายศุภชัย สุกาญจนาภรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซันไทยอุตสาหกรรมถุงมือยาง จำกัด (มหาชน) หรือ STHAI เปิดเผยผลงานช่วงครึ่งหลังของปี 2558 ว่า บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนดำเนินงาน มุ่งเน้นแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร และสายการผลิต เพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้แล้วตั้งแต่ในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมานี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้กองทุน Utilities Investment Manager ที่เป็นกองทุนส่วนบุคคลที่มีขนาดกองทุนราว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากประเทศมาเลเซีย ได้เข้ามาถือหุ้น 12% เพื่อเป็นพันธมิตรที่พร้อมจะคอยให้ความช่วยเหลือทั้งในแง่ของข้อมูล การตลาด และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศจนทำให้การขยายตลาดของผลิตภัณฑ์ถุงมือยางที่มีมาตรฐานสูงเริ่มปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น
“บริษัทฯ จึงตั้งเป้าหมายว่า ผลการดำเนินงานปีนี้จะพลิกมาเป็นกำไร และคาดว่าหุ้น STHAI จะสามารถกลับมาทำการซื้อขายในหมวดปกติได้ภายในไตรมาสแรกปี 2559”
สำหรับภาพรวมการขยายตลาดซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ถุงมือยางในอัตราที่สูงขึ้นนั้น STHAI คาดว่าจะมีผลให้สินค้าของบริษัทสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 8-9% จากปีก่อนที่มีปริมาณการใช้จากตลาดทั่วโลกทั้งสิ้น 176 พันล้านชิ้นต่อปี ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการเกิดโรคระบาดชนิดใหม่ๆ จึงทำให้เกิดความต้องการใช้ถุงมือทางการแพทย์ หรือถุงมือตรวจโรคเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะความต้องการจากกลุ่มประเทศแถบเอเชีย เช่น อินเดีย ปากีสถาน และจีน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพรวมอุตสาหกรรมผลิตถุงมือยางทั่วโลกมีการคาดหมายถึงความต้องการใช้จะมีทั้งสิ้นราวๆ 1.8 แสนล้านชิ้นต่อปี แต่ความต้องการนี้ยังจะเพิ่มขึ้นทุกปีๆ ละ 5% หรือประมาณ 9,000 ล้านชิ้นต่อปี และมีการประเมินกันว่า เมื่อถึงปี 2020 มูลค่าตลาดรวมของถุงมือยางคุณภาพสูงนี้จะมีทั้งสิ้น 7.9 พันล้านบาท ขณะที่ STHAI สามารถผลิตเพื่อสนองตอบความต้องการของตลาดได้เพียงปีละ 30,000 ชิ้น หรือประมาณ 2.6% ของความต้องการจากตลาดโลก ทั้งนี้ ประธานกรรมการบริหาร STHAI ได้บอกถึงเป้าหมายการเพิ่มขีดความสามารถในกำลังการผลิต STHAI ในปัจจุบันจะยังอยู่ที่ 60 ล้านชิ้น/เดือน แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 70 ล้านชิ้น/เดือนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 หรือเพิ่มขึ้นราว 4% ขณะที่เป้าหมายการเพิ่มกำไรขึ้นต้นจะอยู่ที่ 20% จากที่มีอยู่ 5-9% ในปัจจุบัน
สำหรับการปรับปรุงฐานะทางการเงินของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 3,995 ล้านบาท เป็น 19,978 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมจนเสร็จสิ้นไปแล้ว 600 ล้านบาท และในไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทจะมีการเพิ่มทุนอีกครั้ง 600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้เจ้าหนี้ธนาคารพาณิชย์ และเจ้าหนี้การค้า ปรับปรุงกระบวนการผลิต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และอาจจะนำไปลงทุนในธุรกิจใหม่ด้านพลังงานเพื่อช่วยลดต้นทุนด้านนี้ลงด้วย