นักวิชาการเสนอภาคเอกชน และตลาดการเงินระมัดระวังการลงทุนและติดตามปัญหาหนี้กรีซใกล้ชิด เพราะอาจเกิดผลกระทบต่อทุนเคลื่อนย้ายผันผวนในระยะสั้น เนื่อจากไทยมีทุนสำรอง และดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง แนะภาครัฐเร่งรัดการใช้จ่าย ขณะที่ ธปท. ควรเรียกคณะกรรมการธนาคาร และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ประชุมพิเศษพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยต่ำกว่า 1% เพื่อรับมือความเสี่ยงทั้งใน และนอกประเทศ
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินการลงประชามติหนี้สินกรีซไม่ว่าผลออกมารับรอง หรือไม่รับรองเงื่อนไขเจ้าหนี้ ผลกระทบ และความเสี่ยงระยะสั้นต่อระบบการเงินยุโรป และโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คาดเงินดอลลาร์น่าจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เงินยูโรอ่อนค่าลงต่อเนื่องในอัตราเร่งมากขึ้น เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง เงินทุนจะไหลออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงสู่สินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร กองทุนตลาดเงิน เป็นต้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงทรงตัวระดับต่ำ
ทั้งนี้ เสนอให้ทางการไทย และตลาดการเงินต้องเตรียมตัวรับมือ และติดตามอย่างใกล้ชิดกรณีกรีซผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะความผันผวนจากตลาดการเงินโลก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรมีการประชุมคณะกรรมการธนาคาร และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิเศษและพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่ำกว่าร้อยละ 1 เนื่องจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และความเสี่ยงของปัจจัยภายนอกเพิ่มขึ้น ต้องเริ่มเตรียมรับมือการชะลอตัวเพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจจีน และความเสี่ยงในการเกิดวิกฤตภาคการเงินของจีน
อย่างไรก็ตาม แม้ผลกระทบจากกรีซเบื้องต้นต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมไม่มาก เนื่องจากปัจจุบันไทยมีหนี้สินต่างประเทศน้อย ทุนสำรองระหว่างประเทศ และยอดเกินดุลบัญชีเงินสะพัดระดับสูงอาจเกิดความเสี่ยงจากความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐเร็วขึ้น และมากขึ้น การลงทุนภาครัฐต้องขยายตัวให้สูงกว่าร้อยละ 40-50 ในช่วงครึ่งปีหลัง หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเงินงบประมาณเพื่อการนำเข้าซึ่งไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจ้างงานภายในในช่วงนี้ เช่น การจัดซื้ออาวุธด้วยเงินงบประมาณจำนวนมาก เป็นต้น โดยขอให้เน้นใช้งบประมาณการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจแทนจะส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ