xs
xsm
sm
md
lg

ออริจิ้นเชื่อแนวโน้มอสังหาฯ ปรับตัวดีเดินหน้า “ไนท์บริดจ์ สกายซิตี้ สะพานใหม่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พีระพงศ์ จรูญเอก
ออริจิ้นฯ เชื่อตลาดอสังหาฯ แนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากดอกเบี้ยทรงตัวในระดับต่ำ แรงกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ หนี้ครัวเรือนปรับลดลง ล่าสุด บุกปักธงทำเลสะพานใหม่เปิดตัว “ไนท์บริดจ์ สกายซิตี้ สะพานใหม่” ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท ปัจจุบัน ขายแล้ว 60% เผยยอดขาย 5 เดือนกว่า 2,000 ล้าน มั่นใจสิ้นปีกวาด 5.5 พันล้านตามเป้า

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็พเพอร์ตี้ จำกัด (มาหาชน) หรือ ORI เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 0.5% ถึง 2 ครั้ง ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดคอนโดมิเนียมพร้อมโอน ช่วยให้ภาระด้านดอกเบี้ยเงินผ่อนของลูกค้าลดลง นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างไตรมาส 2-3/58 จะได้รับแรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งอาจจะส่งผลให้มีกำลังซื้อมากขึ้น ส่วนภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่ช่วงที่ผ่านมาได้ปรับลดลงมาบ้างแล้ว โดยปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสิเชื่อของบริษัทอยู่ในระดับที่ระดับต่ำมากเพียง 3% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดรวมที่ 20%

ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการ “ไนท์บริดจ์ สกายซิตี้ สะพานใหม่” เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรซ์ สูง 15 ชั้น จำนวน 490 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท มูลค่าโครงการร่วม 1,340 ล้านบาท ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสายหยุด (พหลโยธิน 50) โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายคนในวัยทำงาน เจ้าของกิจการ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดพรีเซลในรอบ VIP ไปแล้ว 300 ยูนิต จาก 490 ยูนิต หรือคิดเป็น 60% โดยบริษัท คาดว่า ในช่วงไตรมาส 3/58 หลังจากเปิดรอบพรีเซลอย่างเป็นทางการในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ยอดขายจะเพิ่มเป็น 80% โดยบริษัทมองทำเลย่านสะพานใหม่เป็นทำเลที่มีศักยภาพ จากการที่อนาคตจะมีโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเกิดขึ้น ประกอบกับเป็นถนนสายหลักที่มีการสัญจรมาก และย่านนี้เป็นย่านการค้าแและตลาด สถานศึกษา และกรมทหาร

สำหรับแผนลงทุนในปี 2558 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 8 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกเปิดขายไปแล้ว 5 โครงการ และช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยยังคงเน้นพัฒนาโครงการทำเลใกล้แนวรถไฟฟ้า

นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทไปโรดโชว์ในงานที่ต่างประเทศเพื่อเสนอขายให้กับลูกค้าต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน 12% โดยอันดับหนึ่งเป็นลูกค้าชาวญี่ปุ่น อันดับสอง คือ สิงคโปร์ และอันดับสาม คือ ลูกค้าชาวจีน โดยในเดือนสิงหาคมนี้ บริษัทได้ร่วมเดินทางไปกับธนาคารกสิกรไทย (KBANK ) ซึ่งเป็นผู้จัดหาโควตาให้ โดยนำคอนโดมิเนียม 4-5 โครงการ ย่านสุขุมวิท ไปออกบูทในงานแฟร์ที่กวางโจว ประเทศจีน

ด้านยอดขายของบริษัทในช่วง 5 เดือนแรก มียอดขายประมาณ 2,000 ล้านบาท และยังมั่นใจยอดขายปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5,500 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรก คาดว่า จะสามารถทำได้ 2,500 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังตั้งเป้าทำยอดขายได้อีก 3,000 ล้านบาท โดยจะมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในครึ่งปีหลังเพิ่มอีก 2 โครงการ ที่ศรีราชา และแหลมฉบัง จ.ชลบุรี มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรก บริษัทเปิดโครงการใหม่รวม 5 โครงการ มูลค่ารวม 3,220 ล้านบาท

ส่วนมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 1,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายไปจนถึงปี 61 อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้ยังเป็นไปตามเป้ากว่า 2,000 ล้านบาท หลังจากไตรมาส 1/58 บริษัทมีรายได้แล้ว 489.50 ล้านบาท

นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มว่า สำหรับความคืบหน้า การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 180 ล้านหุ้น และการเข้าทำการซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงไตรมาส 3/58 นี้ ปัจจุบัน คณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้มีการอนุมัติเอกสารเกี่ยวกับคำขอเสนอขายหลักทรัพย์และการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการรอภาวะตลาดที่เหมาะสมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

“บริษัทได้มีการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาอย่างดี ซึ่งปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก 180 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งคาดว่า จะสามารถซื้อขายได้ภายในไตรมาส 3 นี้” นายพีระพงศ์ กล่าว

ส่วนวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) บริษัทจะนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต และนำไปชำระหนี้บางส่วน ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทต่ำกว่า 1 เท่า หลังจากเข้าตลาดจากสิ้นไตรมาส 1/58 อยู่ที่ 4 เท่า ทั้งนี้ สัดส่วนการ IPO บริษัท คาดว่า จะแบ่งเป็น 40% ขายให้กับนักลงทุนสถาบัน และอีก 60% จะขายให้กับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนบริษัทจะนำไปใช้เพื่อการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทในอนาคต

โดยหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว บริษัท คาดว่า จะมีการเปิดโครงการใหม่ในปีต่อไปประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวมราว 10,000 ล้านบาท โดยยังเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการพัฒนาโครงการแนวราบ โดยคาดว่า จะเริ่มลงทุนได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า


กำลังโหลดความคิดเห็น