PPS ระบุงานก่อสร้างภาครัฐ-เอกชนชะลอตัวคาดลากยาวถึงสิ้นปี หวังรัฐเร่งเปิดประมูลโครงการเมกะโปรเจกต์กระตุ้นภาคก่อสร้าง-เศรษฐกิจ รับรายได้ปี 58 คาดต่ำกว่าเป้า 300 ล้านบาท พร้อมเร่งปรับตัวเพิ่มงานรัฐสัดส่วนเท่าเอกชนป้องกันความเสี่ยง จ่อเปิดบริษัทในสิงคโปร์รับงานต่างประเทศเพิ่มช่องทางรายได้
นายธัช ธงภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) บริษัทที่ปรึกษาบริหารโครงการด้านวิศวกรก่อสร้าง กล่าวว่า จากภาควะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้งานก่อสร้างภาคเอกชนชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะทรงตัวเช่นนี้ไปจนถึงสิ้นปี รวมไปถึงงานภาครัฐที่มีออกมาไม่มากนักในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งหวังว่าในช่วงครึ่งปีหลังรัฐบาลจะเร่งผลักดันโครงการขนาดใหญ่ หรือโครงการเมกะโปรเจกต์ออกมาในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจก่อสร้าง และภาคเศรษฐกิจได้มาก
ปัจจุบัน บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าเสนองานจากกลุ่มลูกค้ารายใหม่ภาคเอกชนที่มีการลงทุน เช่น อสังหาริมทรัพย์ (คอนโดมิเนียม) กลุ่มโรงแรม และกลุ่มค้าปลีก เพื่อเพิ่มพันธมิตรคู่ค้า ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในอนาคตบริษัทมีแผนเพิ่มงานภาครัฐจากที่ปัจจุบันอยู่ที่ 20% ในขณะที่ภาคเอกชน 80% โดยจะรักษาสัดส่วนให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ หรืองานจากส่วนใดส่วนหนึ่งลดลง
สำหรับงานภาครัฐบริษัท เชื่อมั่นว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้น่าจะเห็นการเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายต่างๆ ตลอดทั้งปี เช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีส้ม และสายสีชมพู รวมไปถึงงานก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 ซึ่งหากมีการเปิดให้เข้าประมูลงานวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการเกิดขึ้น บริษัทก็พร้อมจะเข้าร่วมประมูลงานรถไฟฟ้าในทุกๆ สาย จากที่ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินงานให้แก่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ขณะที่งานในต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีการรับงานส่วนก่อสร้างเพิ่มเติมของโรงไฟฟ้าหงสา ประเทศลาว ขณะเดียวกัน บริษัทได้เข้าไปเจรจาทางธุรกิจเพื่อเสนองานให้แก่โครงการในประเทศพม่า แต่ยังอยู่ระหว่างรอผลสรุปที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะเร่งผลักดันโครงการต่างๆ ออกมาในช่วงครึ่งปีหลังตามแผนที่ได้ประกาศไว้ แต่คาดว่าการก่อสร้างจะสามารถเริ่มได้ในช่วงปลายปี หรือต้นปี 59 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ทั้งปี 300 ล้านบาท ทำให้คาดว่าทั้งปีนี้กำไรสุทธิ และรายได้จะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17.72 ล้านบาท และมีรายได้ประมาณ 267 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการรับรู้ในส่วนของมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่ 241 ล้านบาททั้งหมดในปีนี้
“ปีนี้รายได้กำไรสุทธิของบริษัทคงจะต่ำกว่าปีก่อน แม้ว่าบริษัทยังคงเดินหน้าเสนองานใหม่ภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานคอนโดมิเนียม กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มโรงแรม แต่มูลค่างานในโครงการเหล่านี้มีมูลค่าไม่มากนัก และการรับรู้รายได้นั้นใช้ระยะเวลา 2-3 ปี ส่งผลให้การรับรู้รายได้ในปีนี้ไม่มากนัก ในขณะเดียวกัน โครงการต่างๆ ของภาครัฐที่ชะลอในช่วงที่ผ่านมาจะออกมาในช่วงครึ่งปีหลัง แต่อย่างไรก็ตาม การรับรู้รายได้คงจะเกิดขึ้นในปีหน้า ส่งผลให้ผลประกอบการปีนี้ออกมาไม่ดีนัก” นายธัช กล่าว
นายธัช กล่าวเพิ่มว่า ในส่วนของงานออกแบบด้านวิศวกรรมของบริษัท พีพีเอส ดีไซน์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในช่วงต้นปีมีการรับงานออกแบบโรงงานอุตสาหกรรมมูลค่า 2-3 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารายได้จากงานออกแบบจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทได้มีการวางกลยุทธ์เดินหน้าเสนองานใหม่อย่างต่อเนื่อง
ส่วนการร่วมทุนเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาเว็บไซต์ Builk.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการระบบการบริหารจัดการธุรกิจก่อสร้างออนไลน์ และร้านค้าวัสดุก่อสร้างออนไลน์ยังคงมีกระแสตอบรับที่ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน มีผู้ประกอบการด้านก่อสร้างเข้ามาลงทะเบียนใช้บริการกว่า 6,000 ราย อีกทั้งมีผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างให้ความสนใจเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น
โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ให้ความสนับสนุน Builk.com เช่น KCM ผู้ผลิตและจำหน่ายหลังคาเหล็กเมทอลชีต แบรนด์ “รถถัง”, Diamond Building Product (DRT) ผู้ผลิตอิฐมวลเบาตราเพชร, GLOBAL HOUSE, SUNWA, ปูนสำเร็จรูปทีพีไอ, กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี (CCP) ฯลฯ และมียอดจำหน่ายรวมต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 2
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์ เป็นการรองรับการเปิดสาขาใหม่ในพม่า และลาว เพื่อที่จะเสนอเข้ารับงานควบคุมการก่อสร้าง และออกแบบในประเทศเหล่านี้ โดยบริษัทคาดว่าจะมีข้อสรุปออกมาภายในปีนี้
“เราอยู่ระหว่างศึกษาตั้งบริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์ เพื่อเป็นตัวแทนในการไปเปิดบริษัทในประเทศต่างๆ ที่เราจะเข้าไปตั้งสาขาในการรับงานใหม่ๆ ซึ่งเราคงจะได้ข้อสรุปในปีนี้ แต่ทุกอย่างเราคงจะต้องศึกษาก่อนว่าจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่” นายธัช กล่าว