xs
xsm
sm
md
lg

“สถิตย์” ตั้งเป้าไทยศูนย์กลางตลาดทุนลุ่มน้ำโขง (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท.
ประธานตลาดมองแนวโน้มการลงทุนในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงสดใส เล็งตั้งเป้าไทยเป็นศูนย์กลางแหล่งระดมทุน จับมือ ก.ล.ต. แก้เกณฑ์ดึงโฮลดิงต่างประเทศเข้าจดทะเบียนในไทยเพิ่มมากขึ้น


นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวในงาน Invest ASEAN Thailand ว่า บทบาทโดยรวมของกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ซึ่งมีประชากรเป็นจำนวนมาก และแนวโน้มหลังเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนจะมีการเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น ซึ่งหากพิจารณาตามภูมิศาสตร์แล้วไทยจะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เนื่องจากแวดล้อมไปด้วยประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งจะนำไปสู่การเชื่อมโยงทางการค้า และการลงทุนเพิ่มมากขึ้น

“ตลาดหุ้นไทยให้ความสำคัญกับประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างมาก เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลก และนักลงทุนต่างประเทศในทุกภูมิภาคต่างๆ จับตาการเข้ามาลงทุนแสวงหากำไรในภูมิภาคนี้ เนื่องจากยังมีความต้องการของการบริโภคและอัตราการขยายตัวได้อีกมาก”

ขณะเดียวกัน บริษัทจดทะเบียนของไทยเองนั้นเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นต่อบทบาทของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และจะมีแนวโน้มการเข้าไปลงทุนในอนาคตเพิ่มมากขึ้น สำหรับ บจ.ที่เข้าไปลงทุนแล้วนั้น และนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้มีการจัดตั้งขึ้นมาในลักษณะโฮลดิง คอมปานี เพื่อระดมทุน ซึ่งที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ คือ CKP ที่เข้าไปลงทุนทำเขื่อนผลิตไฟฟ้าในประเทศลาว และในอนาคตที่กำลังจะเข้าจดทะเบียน คือ AMATAVN ที่ประกอบธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะสามารถตั้งเป้าระดมทุนได้จำนวนมาก ขณะที่ในส่วนของตราสารหนี้ ก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว โดยเฉพาะในส่วนของรัฐวิสาหกิจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมในกลุ่มประเทศภูมิภาคนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในในอนาคต

ขณะที่ในส่วนของกฎเกณฑ์การเข้ามาระดมทุนใหม่นั้น ทาง ก.ล.ต.และ ตลท.ได้ร่วมกันหาข้อสรุปในการกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทยทั้งในลักษณะของ โฮลดิง คอมปานี และ Secondary listing

“ตลาดเกิดใหม่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานั้น มีนักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีความผันผวน นักลงทุนก็จะกลับไปลงทุนยังตลาดหุ้นในประเทศชั้นนำ เช่น ตลาดหุ้นฮ่องกง หรือใต้หวัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ”

อย่างไรก็ตาม ในรอบไตรมาสที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย มีการเติบโตขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งมองว่าจากเดิมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยจะติดลบไม่น้อยกว่า 0-1% แต่เมื่อประกาศผลประกอบการออกมาแล้วปรากฏว่า กลับโตมากกว่า 3% เทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มการสื่อสาร กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มปัจจัยพื้นฐานหลักซึ่งมีพื้นฐานแกร่ง ซึ่งผลประกอบการที่ประกาศออกมานี้ คาดว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ในส่วนของการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยนั้น ปัจจุบันนี้ นักลงทุนจะเน้นการซื้อขายหุ้นโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักมากยิ่งขึ้น ซึ่งดูได้จากสัดส่วนระหว่างนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่มีอัตราค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกัน และ 5 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีอัตราการเติบโตที่ชัดเจน

ทั้งนี้ ในส่วนของแนวโน้มการลงทุนในครึ่งปีหลังมองว่า ดัชนี SET INDEX จะทยอยปรับตัวขึ้น เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนของไทยหลายแห่งคาดหวังในส่วนของนโยบายภาครัฐที่ทยอยเร่งเบิกจ่าย โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจากโครงการนโยบายโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อีกทั้งในครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่กลุ่มสินค้าเกษตรสามารถเก็บเกี่ยวตามฤดูกาลได้ ทำให้ช่วยหนุนภาคอุตสาหกรรมการส่งออกให้สามารถเติบโตขึ้นได้
กำลังโหลดความคิดเห็น