นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการประเมินยอดขายในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะ CLMV หากมีแนวโน้มจะเติบโตได้มากก็อาจจะพิจารณาสร้างโรงงานในพม่าและกัมพูชา ซึ่งจะต้องศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่าในการลงทุน
โดยในปีนี้บริษัทเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากปีก่อนที่ 12% เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้าในช่วงที่ผ่านมา โดยคาดว่ารายได้ และกำไรในไตรมาส 2/58 จะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/58 ที่มีรายได้ 1.18 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 95.38 ล้านบาท เป็นผลมาจากตลาดค้าปลีกวัสดุก่อสร้างชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งเป็นผลมาจากช่วงไตรมาส 2 มีวันหยุดที่มากกว่าไตรมาสแรก
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากภาพรวมของครึ่งปีหลังทั้งตลาดในประเทศ และตลาดในกลุ่ม CLMV ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก โดยมีนโยบายภาครัฐที่ต้องการเปิดด่านการค้าชายแดนเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยเร่งส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทยได้มากขึ้น
สำหรับแผนทำตลาดต่างประเทศในกลุ่มประเทศ CLMV ในครึ่งปีหลัง บริษัทจะเน้นสร้างแบรนด์สินค้าผ่านการจัดทำภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ การจัดทำแผ่นพับโฆษณาสินค้า โดยเลือกใช้ภาษาท้องถิ่นของแต่ละประเทศเพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย หวังกระตุ้นการรับรู้จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ให้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 4% จากปีก่อนที่ 4.25 พันล้านบาท โดยภาพรวมรายได้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตตามเป้าหมาย โดยมีปัจจัยจากต่างประเทศที่เติบโตอย่างโดดเด่น ส่วนตลาดในประเทศยังคงขยายตัวเป็นที่น่าพอใจ แม้ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ดีมากนัก เนื่องจากห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่เร่งอัดงบทำรายการส่งเสริมการขายเพื่อปลุกกำลังซื้อของลูกค้า ประกอบกับบริษัทเร่งทำสื่อสารการตลาดด้วยการโฆษณาผลิตภัณฑ์ และทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ณ ช่องทางการจัดจำหน่ายมากขึ้น
โดยแม้ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศยังดูซบเซา แต่ผลการดำเนินงาน 5 เดือนแรกยังเติบโต โดยเฉพาะช่องทางของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ต่างโหมทำโปรโมชันดึงลูกค้า และ DRT เองก็ประสบความสำเร็จในการรุกสื่อสารการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ไปยังผู้บริโภค ทำให้ยอดขายจากช่องทางห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่สามารถเติบโตได้ดี โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะทำสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 14-15% จากยอดขายทั้งหมด
บริษัทมองว่าหากภาครัฐสามารถผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นรูปธรรมชัดเจนในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ จะช่วยปลุกบรรยากาศการซื้อสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างให้สดใสมากขึ้น เนื่องจากเอกชนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม และผู้บริโภคก็มีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น
ส่วนงบลงทุนปีนี้ตั้งไว้ที่ 100 ล้านบาท จะใช้สำหรับการพัฒนาสินค้าเดิมให้เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งในปีนี้บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนมากนัก เนื่องจากกำลังการผลิตยังเพียงพอ ซึ่งปัจจุบันใช้กำลังการผลิตอยู่ 80% แต่อัตรากำลังการผลิตเต็มอยู่ที่ 980,000 ตันต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัว “น้องเพชร รับเหมามุงหลังคา” โดยให้บริการติดตั้งทั้งระบบหลังคาจากทีมช่างมืออาชีพเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์หลังคาตราเพชร ผ่านช่องทางขายห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ ไทวัสดุ โดยในช่วงแรกเริ่มต้น 7 สาขา ได้แก่ บางนา บางบัวทอง แจ้งวัฒนะ สุขาภิบาล 3 มหาชัย ปทุมธานี และศาลายา ซึ่งคาดว่าการให้บริการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ามั่นใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หลังคาตราเพชร และช่วยผลักดันยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้นได้
โดยในปีนี้บริษัทเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากปีก่อนที่ 12% เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้าในช่วงที่ผ่านมา โดยคาดว่ารายได้ และกำไรในไตรมาส 2/58 จะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/58 ที่มีรายได้ 1.18 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 95.38 ล้านบาท เป็นผลมาจากตลาดค้าปลีกวัสดุก่อสร้างชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งเป็นผลมาจากช่วงไตรมาส 2 มีวันหยุดที่มากกว่าไตรมาสแรก
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากภาพรวมของครึ่งปีหลังทั้งตลาดในประเทศ และตลาดในกลุ่ม CLMV ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก โดยมีนโยบายภาครัฐที่ต้องการเปิดด่านการค้าชายแดนเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยเร่งส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทยได้มากขึ้น
สำหรับแผนทำตลาดต่างประเทศในกลุ่มประเทศ CLMV ในครึ่งปีหลัง บริษัทจะเน้นสร้างแบรนด์สินค้าผ่านการจัดทำภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ การจัดทำแผ่นพับโฆษณาสินค้า โดยเลือกใช้ภาษาท้องถิ่นของแต่ละประเทศเพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย หวังกระตุ้นการรับรู้จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ให้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 4% จากปีก่อนที่ 4.25 พันล้านบาท โดยภาพรวมรายได้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตตามเป้าหมาย โดยมีปัจจัยจากต่างประเทศที่เติบโตอย่างโดดเด่น ส่วนตลาดในประเทศยังคงขยายตัวเป็นที่น่าพอใจ แม้ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ดีมากนัก เนื่องจากห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่เร่งอัดงบทำรายการส่งเสริมการขายเพื่อปลุกกำลังซื้อของลูกค้า ประกอบกับบริษัทเร่งทำสื่อสารการตลาดด้วยการโฆษณาผลิตภัณฑ์ และทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ณ ช่องทางการจัดจำหน่ายมากขึ้น
โดยแม้ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศยังดูซบเซา แต่ผลการดำเนินงาน 5 เดือนแรกยังเติบโต โดยเฉพาะช่องทางของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ต่างโหมทำโปรโมชันดึงลูกค้า และ DRT เองก็ประสบความสำเร็จในการรุกสื่อสารการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ไปยังผู้บริโภค ทำให้ยอดขายจากช่องทางห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่สามารถเติบโตได้ดี โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะทำสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 14-15% จากยอดขายทั้งหมด
บริษัทมองว่าหากภาครัฐสามารถผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นรูปธรรมชัดเจนในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ จะช่วยปลุกบรรยากาศการซื้อสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างให้สดใสมากขึ้น เนื่องจากเอกชนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม และผู้บริโภคก็มีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น
ส่วนงบลงทุนปีนี้ตั้งไว้ที่ 100 ล้านบาท จะใช้สำหรับการพัฒนาสินค้าเดิมให้เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มากขึ้น ซึ่งในปีนี้บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนมากนัก เนื่องจากกำลังการผลิตยังเพียงพอ ซึ่งปัจจุบันใช้กำลังการผลิตอยู่ 80% แต่อัตรากำลังการผลิตเต็มอยู่ที่ 980,000 ตันต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัว “น้องเพชร รับเหมามุงหลังคา” โดยให้บริการติดตั้งทั้งระบบหลังคาจากทีมช่างมืออาชีพเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์หลังคาตราเพชร ผ่านช่องทางขายห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ ไทวัสดุ โดยในช่วงแรกเริ่มต้น 7 สาขา ได้แก่ บางนา บางบัวทอง แจ้งวัฒนะ สุขาภิบาล 3 มหาชัย ปทุมธานี และศาลายา ซึ่งคาดว่าการให้บริการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ามั่นใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หลังคาตราเพชร และช่วยผลักดันยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้นได้