xs
xsm
sm
md
lg

บสก.จัดโครงการหนุนผู้มีรายได้น้อย ติดเครดิตบูโรกู้ซื้อบ้านได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สมพร มูลศรีแก้ว
บสก.เชื่อปี 58 ขายทรัพย์ตามเป้า 19,300 ล้านบาท หลัง 4 เดือนยอดขายทะลุ 8,000 ล้านบาท โต 111% ล่าสุด ออกโครงการ “สบายคอนโด 2558 คอนโดโดนใจ สบายกระเป๋าจาก BAM” หวังช่วยผู้มีรายได้น้อยซื้อบ้านเป็นของตนเอง ติดเครดิตบูโรก็กู้ซื้อบ้านได้ เผยเพิ่มเป้าซื้อ NPL จากสถาบันการเงินเป็น 10,500 ล้านบาท

นายสมพร มูลศรีแก้ว รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) หรือ BAM เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมายังคงชะลอตัว แต่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ภาพรวมเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และความต้องการในที่อยู่อาศัยมีเพิ่มขึ้น

ขณะที่ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการใหม่ลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงผันผวน ประกอบกับธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้กลุ่มลูกค้าในระดับล่างถึงกลางได้รับผลกระทบ ซึ่งผู้ประกอบการเองก็ได้หันไปพัฒนาโครงการใหม่ในระดับไฮเอนด์มากขึ้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อสูง และไม่ค่อยมีปัญหาในการขอกู้สินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ตรงกันข้ามกับกลุ่มลูกค้าระดับล่างค่อนข้างมีปัญหาในการขอสินเชื่อ และมีกำลังซื้อไม่มาก และเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังผู้ประกอบการจะยังคงพัฒนาโครงการในระดับกลางบนมากขึ้น เนื่องจากสามารถตอบโจทย์ลูกค้าชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี

จากภาวะค่าครองชีพ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบ ประกอบกับธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ หรือซื้อได้ยาก ทำให้ บสก.มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ให้สามารถซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้

โดยได้จัดทำโครงการ “สบายคอนโด 2558 คอนโดโดนใจ สบายกระเป๋าจาก BAM” ซึ่งได้คัดคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ จำนวน 500 ยูนิต มาจำหน่ายให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในราคาไม่เกิน 300,000 บาท เช่น โครงการนิรันดร์เรสซิเดนซ์ ถนนบางนา-ตราด น้ำเพชรคอนโดทาวน์ รัตนาธิเบศร์ หทัยราษฎร์คอนโดมิเนียม และสายไหม เป็นต้น โดยมีระยะเวลาการผ่อนชำระ 10 ปี โดยงานจะขึ้นระหว่างวันที่ 14 ก.ค.-14 ส.ค. นี้

สำหรับเงื่อนไขการซื้อขายคอนโดมิเนียมในเบื้องต้นกำหนดไว้ว่า ลูกค้าที่สนใจวางเงินดาวน์เพียง 1,000 บาท และวันที่เซ็นสัญญาซื้อขายต้องชำระเงินอีก 1,000 บาท หลังจากนั้นก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย ซึ่งระยะเวลาการผ่อนชำระจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-3,000 บาทต่อเดือน ขึ้นกับลูกค้าจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมราคาเท่าไร แต่ปีสุดท้ายในการผ่อนชำระจะต้องสมทบเงินจ่ายให้หมด หรือประมาณ 20% ของมูลค่าคอนโดมิเนียมที่ซื้อ

ส่วนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มผู้เช่าอาศัยในโครงการอยู่แล้ว ผู้ขายอิสระ กลุ่มอาชีพขับรถรับจ้าง ลูกจ้างทั่วไป ซึ่งมีรายได้ 10,000-20,000 บาท/เดือน มีรายได้คงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วเดือนละไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 บาท โดยจะต้องมีการประกอบอาชีพที่ชัดเจน มีแหล่งรายได้ตรวจสอบได้ ตั้งเป้าหมายยอดขายไม่ต่ำกว่า 300 ยูนิต หรือ 50 ล้านบาท ในภายเดือนแรก

ทั้งนี้ ประชาชนผู้มีรายได้ไม่จำเป็นต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน รวมถึงประชาชนที่ติดเครดิตบูโรสามารถยื่นความจำนงขอซื้อได้เช่นกัน โดยวางเงินดาวน์ในราคา 10% คิดอัตราดอกเบี้ย MLR 6.5% ผ่อนขั้นต่ำเฉลี่ยเดือนละ 1,000 บาท อย่างไรก็ตาม บสก.จะมีการตรวจสอบบุคคลที่จะเข้าซื้อเพื่อป้องกันการเก็งกำไร

แม้ว่าเศรษฐกิจในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจะชะลอตัว แต่ยอดจำหน่ายสินทรัพย์ในรอบ 4 เดือนแรกของ บสก.ทำได้ถึง 8,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ที่ 4,082 ล้านบาท ถึง 111% ดังนั้น จึงเชื่อว่าการจำหน่ายทรัพย์ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าทั้งปีที่ 19,3000 ล้านบาท และเชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวดีขึ้น

นายสมพร กล่าวต่อว่า สำหรับการเพิ่มขนาดสินทรัพย์ของ บสก.ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาว่า ได้รับซื้อรับโอน NPL จากสถาบันการเงินเข้ามาบริหารจัดการ คิดเป็นเงินต้นคงค้างรวม 6,910 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบัน บสก.มี NPL อยู่ในความดูแลทั้งสิ้น 71,699 ราย คิดเป็นมูลค่า 407,599 ล้านบาท และมี NPA จำนวน 12,451 รายการ คิดเป็นมูลค่า 35,820 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสถาบันการเงินจะนำ NPL ออกมาขายอีกต่อเนื่อง จึงคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถซื้อทรัพย์ทั้งประเภท NPL และ NPA รวมกันได้ประมาณ 10,500 ล้านบาท จากเดิมที่ 7,000 ล้านบาท ซึ่งการซื้อ NPL ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทที่อยู่อาศัยตามหัวเมืองใหญ่ เข่น ภูเก็ต สมุย และธุรกิจ SME โดยปี 57 ที่ผ่านมา บสก.รับซื้อ NPL จากสถาบันการเงินไป 13,000 ล้านบาท พร้อมกันนี้ ได้เตรียมซื้อ NPA จากสถาบันการเงินรายใหญ่ 2 ราย มูลค่า 1,000 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น