“รวงข้าว-ทีเอ็มบี” คาดที่ประชุม “กนง.” วันที่ 10 มิ.ย.นี้ น่าจะคง ดบ.นโยบายที่ระดับ 1.50% เพื่อรอดูผลในการปรับลด ดบ. คราวก่อน 0.25% ต่อเนื่องกัน 2 ครั้ง แนะจับตา “ธปท.” ปรับประมาณการ “จีดีพี” สะท้อนทิศทางการใช้นโยบายการเงินในระยะต่อไป และสัญญาณจาก “เฟด” ซึ่งจะมีผลต่อช่องว่างการปรับ ดบ. ของไทย
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับร้อยละ 1.50 ในการประชุมวันที่ 10 มิถุนายน 2558 นี้ หลังจากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในการประชุม กนง. 2 ครั้งก่อนหน้าติดต่อกัน
ทั้งนี้ เพื่อรอประเมินผลการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังจากที่ได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งติดต่อกัน ขณะที่ความพยายามเร่งการเบิกจ่ายภาครัฐน่าจะหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้ทยอยกลับมา ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งที่ผ่านมา ช่วยบรรเทาต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชน และช่วยให้ค่าเงินบาทปรับตัวสอดคล้องต่อประเทศคู่ค้าหลักของไทยในภูมิภาค
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม นอกจากการปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2558 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วันที่ 19 มิถุนายน 2558 ซึ่งคงเป็นหนึ่งในเครื่องสะท้อนถึงทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของไทยระยะต่อไปแล้ว ก็คงจะต้องพิจารณาทิศทางของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงมีการส่งสัญญาณถึงโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายชัดเจนมากขึ้น อาจกระทบต่อช่องว่างในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของไทยเพิ่มในอนาคต
ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า การประชุม กนง. วันที่ 10 มิ.ย.นี้ คณะกรรมการ กนง. จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.50 เพื่อรอประเมินประสิทธิผลหลังปรับลดดอกเบี้ยลงในการประชุม 2 ครั้งล่าสุด แต่ยังไม่ปิดโอกาสที่อาจมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในครึ่งปีหลัง หากสถานการณ์เงินเฟ้อและการส่งออกยังไม่ดีขึ้น
สำหรับการลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุด มีส่วนช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างชัดเจน โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าลงราว 1 บาท มาอยู่ที่ระดับประมาณ 33.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยพยุงภาคการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังได้บ้าง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนัก โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยเดือนเมษายนชี้ให้เห็นถึงการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวแข็งแกร่งและการเบิกจ่ายงบภาครัฐเร่งตัวได้ดีขึ้น ในขณะที่การใช้จ่ายของเอกชนในประเทศและรายได้จากการส่งออกยังคงอ่อนแรง ด้านความเชื่อมั่นในภาคเอกชนที่หักหัวลงก็เป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง
นอกจากนี้ จากการที่ กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ในปัจจุบัน ส่งผลให้ขีดความสามารถในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมมีอย่างจำกัด จากสถิติที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเคยแตะระดับต่ำสุดที่ร้อยละ 1.25 ในช่วงปี 2546 (หลังวิกฤตดอทคอม) และปี 2552 (หลังวิกฤตซับไพร์ม) ดังนั้นการปรับลดดอกเบี้ยอีกเพียงครั้งเดียวจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลงไปเท่ากับระดับต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา และหากประเมินผ่านเครื่องชี้เศรษฐกิจในสถานการณ์ปัจจุบัน
โดยเมื่อเทียบกับสองช่วงเวลาดังกล่าว จะพบว่าสถานการณ์ในปัจจุบันน่าจะมีแนวโน้มไม่สู้ดีนักหากเทียบกับในช่วงปี 2546 แต่ถือว่ามีความแข็งแกร่งกว่ามากหากเทียบกับช่วงปี 2552 ดังจะเห็นได้จากในปี 2546 จีดีพีขยายตัวกว่าร้อยละ 7.2 การส่งออกเติบโตร้อยละ 17.4 ส่วนในช่วงปี 2552 จีดีพีหดตัวร้อยละ 0.7 และส่งออกติดลบร้อยละ 14.3
ขณะที่ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่ายังมีโอกาสที่ กนง.จะออกโรงกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีความเสี่ยงหลักๆ ที่ต้องติดตามอยู่ 2 ประเด็น ความเสี่ยงแรกคือ เงินเฟ้ออาจหลุดกรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อยาวนานกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยประเมินไว้ ในปัจจุบัน ธปท. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะเร่งตัวขึ้นกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงไตรมาสสี่ ส่งผลให้ประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปี 2558 ของ ธปท. ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.2 แต่ในขณะนี้อัตราเงินเฟ้อในช่วงห้าเดือนแรกของปี ขยายตัวติดลบร้อยละ 0.8 และยังมีแนวโน้มเป็นลบอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นศูนย์วิเคราะห์ฯ จึงมองว่าหากราคาน้ำมันไม่ดีดตัวกลับในช่วงที่เหลือของปี โอกาสที่เงินเฟ้อจะติดลบในปีนี้มีค่อนข้างสูง
สำหรับความเสี่ยงอีกประการ คือ รายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกสินค้าอาจติดลบต่อเนื่อง จากราคาสินค้าส่งออกที่ปรับตัวลดลงภายใต้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักยังอ่อนแอ โดยในประมาณการล่าสุด ธปท.ประเมินว่าการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 0.8 ในขณะที่ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าจะหดตัวร้อยละ 1.7
อนึ่ง ธปท.จะมีการเปิดแถลงประมาณการเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งอาจมีการปรับตัวเลขประมาณการการขยายของเศรษฐกิจ การส่งออก รวมถึงอัตราเงินเฟ้อในวันที่ 19 มิ.ย. โดยตัวเลขดังกล่าวจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นถึงมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจของ ธปท.ซึ่งจะมีผลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปีนี้