xs
xsm
sm
md
lg

“ภัทรศรี” รุกสถาบันออกแบบ ตั้งเป้ารายได้โต 20% พร้อมเตรียมเข้าเทรดใน mai

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นางสาวภัทรศรี นิรามัยสกุล ผู้อำนวยการสถาบันแบงคอค เอฟ เอ ,สถาบันสอนออกแบบนานาชาติ และสถาบันเยส! บิซิเนส สคูล
เปิดตัว 3 สถาบันใหม่ สถาบันแบงคอค เอฟ เอ สถาบันสอนออกแบบนานาชาติ และสถาบันเยส! บิซิเนส สคูล ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 20% พร้อมเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น mai หวังระดุมทุนรุกธุรกิจสถาบันออกแบบ

นางสาวภัทรศรี นิรามัยสกุล ผู้อำนวยการสถาบันแบงคอค เอฟ เอ, สถาบันสอนออกแบบนานาชาติ และสถาบันเยส! บิซิเนส สคูล กล่าวว่า ได้จัดตั้งสถาบันฯ ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการออกแบบ และการสร้างแบรนด์สินค้าให้กับเจ้าของธุรกิจทุกประเภทให้มีเอกลักษณ์โดดเด่น และมีคุณภาพเทียบเท่าแบรนด์สินค้าระดับโลก โดยผู้ประกอบการสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการออกแบบ ควบคู่ไปกับการสร้างแบรนด์สินค้า โดยหัวใจสำคัญ คือ การสร้างวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ และการออกแบบ เพื่อให้เจ้าของกิจการ และผู้ประกอบการสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดสินค้า หรือบริการของตัวเองให้มีมาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมากขึ้น

“ทางสถาบันฯ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะส่งเสริมการออกแบบเพื่อเอาไปใช้ในงานธุรกิจทุกด้าน โดยเฉพาะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย และศิลปะที่มีความเป็นมาอย่างยาวนาน ดังนั้น เพื่อยกระดับแบรนด์สินค้าและสามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้จากการสร้างสรรค์ และการออกแบบที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แนวโน้มระบบการเรียนการสอนก็เป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เพราะทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคปัจจุบันพร้อมให้มูลค่ากับงานออกแบบมากกว่างานที่ไม่มีเอกลักษณ์เหมือนในอดีต”

ขณะที่ในส่วนของสัดส่วนรายได้จากธุรกิจของบริษัท แบ่งเป็นสถาบันสอนออกแบบนานาชาติ 30-35% สถาบันเยส! บิซิเนส สคูล ประมาณ 30% ซึ่งแนวโน้มในอนาคตจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อต่อยอดจากธุรกิจก่อนหน้านี้ ขณะที่ในสัดส่วนรายได้ของสถาบันแบงคอค เอฟ เอ จะอยู่ที่ประมาณ 40% อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 20% เนื่องจากทางรัฐบาลได้ส่งเสริมในเรื่องของการเสริมสร้างการเรียนรู้ โดยบริษัทมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อระดมทุนในการพัฒนาศักยภาพด้านการออกแบบธุรกิจแฟชั่นแบบครบวงจร และการออกแบบและทางด้านการบริหารธุรกิจเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับตลาดโลก เกิดความเข้มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ภายใต้กระแสเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนกลยุทธ์การตลาดทั้งในรูปแบบทั้งอะโบฟ เดอะ ไลน์ (Above the line) การสื่อสารการตลาดผ่านสื่อในวงกว้างหรือแมส มีเดีย เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และช่องทางออนไลน์ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการตลาดยุคใหม่ ฯลฯ และบีโลว์ เดอะ ไลน์ (Below the line) ซึ่งเป็นการสื่อสารการตลาดแบบไม่ใช้สื่อ แต่เน้นการทำกิจกรรมหรืออีเวนต์ต่างๆ อาทิ การจัดเวิร์กช็อป การจัดสัมมนา เป็นต้น เพื่อการสื่อสารข้อมูลข่าวสารไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น สำหรับมูลค่ารวมของตลาดการศึกษา และการออกแบบภายในประเทศมีมูลค่าแสนล้านบาท

โดยกลุ่มเป้าหมายหลักอายุระหว่าง 28-40 ปี ซึ่งมีบุคลิกภาพที่แอคทีฟ ทันสมัย สนใจติดตามข้อมูลข่าวสารบ้านเมือง และเทรนด์ใหม่ๆ ในแวดวงธุรกิจ โดยทั้ง 3 สถาบันจะช่วยเพิ่มทักษะในเรื่องแฟชั่น พัฒนาการออกแบบ และธุรกิจ จนถึงทุกวันนี้ มีนักเรียนที่ผ่านการอบรมกับทางสถาบันไปแล้วมากกว่าหนึ่งพันคน และได้สร้างผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จไปแล้วมากกว่า 100 คน

สำหรับงบประมาณทางการตลาดในปีนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 10 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการใช้ในด้านการใช้จ่ายบุคลากร 50% เนื่องจากทางสถาบันฯ ให้ความสำคัญกับบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถประกอบกับมีการจัดจ้างบุคลากรจากต่างประเทศมาเป็นวิทยากรผู้ให้ความรู้ ขณะที่อีก 10% ใช้ในการพัฒนาความรู้บุคลากรอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นด้านการปฏิบัติจริง (เวิร์กช็อป การสัมมนา การศึกษาต่างประเทศ) เพื่อนำความรู้ที่ได้มากถ่ายทอดต่อพนักงานคนอื่นๆ และเพิ่มขีดความสามารถให้มากยิ่งขึ้น ส่วนอีก 20% จะใช้จ่ายในการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจให้กับนักเรียนให้มีการพัฒนาบุคลากรเพิ่มความสามารถมากขึ้น ส่วนที่เหลืออีก 20% จะนำไปพัฒนาด้านการเรียนรู้ผ่านระบบดิจิตอล
กำลังโหลดความคิดเห็น