ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยผลกระทบอุตสาหกรรมการบินไทย หาก ICAO ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหากไม่สามารถปรับปรุงมาตรฐานให้ได้ตามเกณฑ์ที่วางไว้ อาจกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินไทยทั้งระบบ เพราะผลประโยชน์ที่ได้จะเกิดต่อสายการบินนอกประเทศ ที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย
คุณวิสสุตา แจ้งประจักษ์ นักวิจัยจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Economic Intelligence Center :EIC) กล่าวถึงกระแสข่าวความเป็นไปได้ที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือด้านความปลอดภัยของกรมการบินพลเรือนไทย ซึ่ง EIC มองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลต่อเนื่องให้สถาบันประเมินมาตรฐานอื่นๆ ทำการทบทวนมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางการบินของไทย ดังจะเห็นได้จาก US FAA ขอเข้าตรวจสอบ และประเมินไทยในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้
โดยประเมินว่าหากไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจากสถาบันการบินนานาชาติ จะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ และความนิยมต่อสายการบินของไทย และต่อเนื่องไปยังต้นทุนการดำเนินงานที่จะสูงขึ้น นอกจากนี้ สายการบินไทยจะต้องเผชิญต่อการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากการเข้ามาของสายการบินต่างชาติ โดยสายการบินเช่าเหมาลำจะเป็นกลุ่มที่เสียเปรียบมากที่สุด เนื่องจากจะต้องได้รับการอนุมัติการบินเป็นรายกรณี ในขณะที่สายการบินที่ให้บริการแบบเต็มรูปแบบ และสายการบินต้นทุนต่ำที่ให้บริการเส้นทางระยะกลาง (Medium Haul) อาจมีข้อจำกัดในการขยายกิจการในอนาคต เนื่องจากไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบิน หรือเส้นทางบินใหม่ได้ โดยมีเพียงสายการบินต้นทุนต่ำที่ให้บริการภายในประเทศเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ทั้งนี้ ภาครัฐ และภาคเอกชนควรร่วมมือกันเพื่อวางแผนแก้ไขจุดบกพร่องให้ทันท่วงที เพราะหากถูกปรับลดสถานะด้านความปลอดภัยแล้วอาจต้องใช้เวลานานไม่ต่ำกว่า 4 ปี เพื่อคืนสถานะกลับมา
อย่างไรก็ตาม การแจ้งเตือนของ ICAO ถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือด้านความปลอดภัยของกรมการบินพลเรือนไทยนั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงอาจส่งผลให้สถาบันประเมินมาตรฐานอื่นๆ ทำการทบทวนมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินของไทยเพิ่มเติม ภายหลังที่ ICAO เข้าตรวจสอบการดำเนินงานของกรมการบินพลเรือนของไทยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และได้แจ้งเตือนว่า อันดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของกรมการบินพลเรือนไทยอาจถูกปรับลดเป็นสถานะกลุ่มประเทศที่มีข้อบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญด้านความปลอดภัย (Significant Safety Concern: SSC) ส่งผลให้ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ประกาศสั่งห้ามเที่ยวบินเช่าเหมาลำบินเข้าประเทศในทันที โดยมีการอนุโลมให้ชั่วคราวในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวระหว่างเดือน
“การแจ้งเตือนของ ICAO ถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือด้านความปลอดภัยของกรมการบินพลเรือนไทยนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงอาจส่งผลให้สถาบันประเมินมาตรฐานอื่นๆ ทำการทบทวนมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินของไทยเพิ่มเติม ภายหลังที่ ICAO เข้าตรวจสอบการดำเนินงานของกรมการบินพลเรือนของไทยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และได้แจ้งเตือนว่าอันดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของกรมการบินพลเรือนไทยอาจถูกปรับลดเป็นสถานะกลุ่มประเทศที่มีข้อบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญด้านความปลอดภัย (Significant Safety Concern: SSC) ส่งผลให้ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ประกาศสั่งห้ามเที่ยวบินเช่าเหมาลำบินเข้าประเทศในทันที โดยมีการอนุโลมให้ชั่วคราวในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวระหว่างเดือนเมษายน และพฤษภาคม”
นอกจากนี้ เครื่องบินที่จดทะเบียนในประเทศไทยยังจะได้รับการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้นจากนานาชาติอีกด้วย IEC คาดว่าการตอบสนองดังกล่าวเป็นเพียงปฏิกิริยาตอบโต้เบื้องต้นเท่านั้น และการพิจารณาทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือโดย ICAO อาจกระตุ้นให้สถาบันประเมินมาตรฐานแห่งอื่นๆ รวมถึง US FAA ของสหรัฐฯ และ EASA ของสหภาพยุโรปเข้าตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างในปี 2008 ที่ US FAA ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฟิลิปปินส์ ICAO ได้ขอเข้าตรวจสอบ และปรับลดอันดับเช่นกันในปี 2009 ซึ่งยังต่อเนื่องมาในปี 2010 ที่สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้มีการสั่งห้ามสายการบินฟิลิปปินส์ให้บริการผ่านน่านฟ้าอีกด้วย
ทั้งนี้ แม้ว่าจะพ้นจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจาก ICAO ก็ยังไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะยังมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดมาตรฐานด้านความปลอดภัยจากสถาบันอื่นๆ กรณีอินโดนีเซีย เป็นบทเรียนที่น่าสนใจที่แม้ว่า ICAO จะตัดสินใจไม่ปรับลดสถานะความปลอดภัยทางการบินของอินโดนีเซียเป็น SCC แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งการปรับลดอันดับของ US FAA และ EASA ได้ โดยในปัจจุบัน สายการบินของอินโดนีเซียส่วนใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้บินเข้าน่านฟ้าของสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ดี หากเกิดการปรับลดสถานะความปลอดภัยจะส่งผลให้เกิดการสูญเสียความนิยมจากผู้โดยสารโดยทันที จากบทเรียนของฟิลิปปินส์ ทำให้เห็นภาพของผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ในทันทีที่มีการปรับลดสถานะความปลอดภัยของสถาบันการบินพลเรือน โดยในช่วงที่ถูกขึ้นบัญชีดำของสหภาพยุโรป Philippine Airlines ประสบภาวะสูญเสียความนิยมหลังจากยุโรปประกาศเตือนประชาชนถึงการปรับลดสถานะของสายการบินฟิลิปปินส์ แม้ว่าในขณะนั้นทางสายการบินไม่ได้ให้บริการในเส้นทางระหว่างประเทศฟิลิปปินส์ และสหภาพยุโรปแล้วก็ตาม โดยสายการบินฟิลิปปินส์ ได้สูญเสียฐานลูกค้าให้แก่คู่แข่งที่เป็นสายการบินต่างชาติ และสายการบินต้นทุนต่ำที่ให้บริการในเส้นทางเดียวกัน จนทำให้สัดส่วนของผู้ใช้บริการต่างชาติของสายการบินฟิลิปปินส์ลดลงมากกว่า 9% จาก 33% ในปี 2005 เหลือเพียง 24% ในปี 2013 นอกจากนี้ อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมของผู้ใช้บริการต่างชาติหลังการปรับลดอันดับในช่วงปี 2010 ถึง 2013 ยังลดลงอย่างชัดเจนจนเหลือน้อยกว่า 2% ต่อปี ในขณะที่ก่อนการปรับลดอันดับในช่วงปี 2005-2008 บริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมสูงกว่า 5% ต่อปี อย่างไรก็ดี ผลกระทบดังกล่าวไม่เป็นที่น่าแปลกใจเนื่องจากความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ลูกค้าพิจารณาเลือกใช้บริการสายการบิน สำหรับกรณีของประเทศไทย การสูญเสียความนิยมจากผู้โดยสารจะส่งผลให้สายการบินเต็มรูปแบบของไทยแข่งขันกับสายการบินของกลุ่มประเทศตะวันออกกลางได้ยากขึ้น โดยในช่วง 2-3 ปีผ่านมา สายการบินกลุ่มดังกล่าวเป็นคู่แข่งใหม่ที่พยายามเจาะตลาดโดยการให้บริการในระดับพรีเมียมในราคาที่ไม่สูงมากนัก
ขณะที่การปรับลดอันดับความปลอดภัย และการระงับการเพิ่มเส้นทางบินเป็นระยะเวลานานจะส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของสายการบิน เนื่องจากทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้นและจำกัดโอกาสในการขยายธุรกิจ การสูญเสียความนิยมจากลูกค้าไม่ได้เป็นผลกระทบเดียวที่อาจเกิดขึ้นต่อสายการบินของไทยหากถูกปรับลดอันดับความปลอดภัย แต่จะประสบกับข้อจำกัดในขยายขอบเขตการให้บริการ เนื่องจากประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดำจะไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบินหรือเพิ่มเส้นทางใหม่ได้ รวมทั้งสถานะทางการเงินอาจได้รับผลกระทบดังที่ปรากฏในกรณีสายการบินฟิลิปปินส์ ที่รายได้เติบโตในอัตราเฉลี่ยสะสมเพียง 0.3% ต่อปี ในระหว่างปี 2008-2013 ที่ถูกปรับลดอันดับความปลอดภัย นอกจากนี้ ผลกำไรของสายการบินอาจลดลงจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการดำเนินงาน อัตราค่าเช่าเครื่องบิน และเบี้ยประกัน ตลอดจนเงื่อนไขการซ่อมบำรุงที่มีความเข้มงวดมากขึ้นอีกด้วย
“การคืนอันดับความปลอดภัยทางการบินอาจใช้เวลานานไม่ต่ำกว่า 4 ปี โดยจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชนในการผลักดัน จากตัวอย่างในอดีตจะเห็นว่า การคืนอันดับความน่าเชื่อถือมีความเป็นไปได้ แต่กระบวนการดังกล่าวอาจต้องใช้เวลานาน เช่น ฟิลิปปินส์ อิสราเอล และอินเดีย ที่ใช้เวลาโดยเฉลี่ย 4 ปี ในการเลื่อนอันดับมาเป็นประเภท 1 โดย EIC มองว่า การที่จะผลักดันให้สถาบันประเมินมาตรฐานต่างๆ ปรับสถานะความปลอดภัยขึ้นจะต้องอาศัยการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ และเอกชน ดังตัวอย่างในปี 2012 ที่ Philippine Airlines ได้จัดจ้างที่ปรึกษาด้านการบินจากสหรัฐฯ เพื่อจัดการอบรมและให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคแก่สถาบันการบินพลเรือนของประเทศ (CAAP) ตลอดจนจัดทำแผนงานดำเนินงานของ CAAP ที่จะรับรองผลการปฏิบัติงานที่มีความสอดคล้องต่อมาตรฐาน ICAO โดยแผนงานดังกล่าวรวมถึงการจัดทำคู่มือการตรวจสอบ ข้อแนะนำเชิงเทคนิค และการปรับปรุงกฎระเบียบการบินพลเรือนของฟิลิปปินส์ด้วย โดยการจัดจ้างที่ปรึกษาในกรณีนี้ CAAP ไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายใดๆ เนื่องจาก Philippine Airlines เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด“
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของ CAAP และที่ปรึกษาในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของอุตสาหกรรมการบินของฟิลิปปินส์ ส่งผลให้ ICAO ยกเลิกสถานะ SSC ของประเทศฟิลิปปินส์ในปี 2013 หรือภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี หลังจากการจ้างที่ปรึกษาดังกล่าว โดยการเลื่อนอันดับครั้งนั้นทำให้รายได้สายการบินฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นถึง 36% ระหว่างปี 2013 และ 2014
ขณะที่การร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชนเพื่อการแก้ไขปัญหามาตรฐานด้านความปลอดภัยก่อนการประกาศลดสถานะความปลอดภัย จะช่วยให้เกิดความมั่นใจต่อสายการบิน และมาตรฐานการบินของประเทศได้อย่างแน่นอน เนื่องจาก ICAO ได้แจ้งเตือนการพิจารณาปรับลดสถานะความปลอดภัยเป็นการล่วงหน้า ไทยจึงมีโอกาสดำเนินมาตรการแก้ไขต่างๆ ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เพื่อหลีกเลี่ยงการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าว โดยหนึ่งแนวทางที่กรมการบินพลเรือนได้ดำเนินการ คือ การคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการบินเพื่อเข้าร่วมพิจารณาแผนการแก้ไขปรับปรุงเพื่อนำเสนอต่อ ICAO ในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งคาดว่าสายการบินที่ให้บริการในประเทศไทยทั้งหมด 44 แห่ง จะได้รับการออกใบรับรองตามมาตรฐาน ICAO ฉบับใหม่หลังจากนั้น รวมทั้งมีการพิจารณาออกใบอนุญาตให้สายการบิน 7 แห่ง ให้สามารถขนส่งวัตถุอันตรายทั้งภายใน และระหว่างประเทศได้ด้วย ในส่วนของมาตรการแก้ไขของภาคเอกชน สายการบินชั้นนำของไทย 4 แห่ง (การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ส นกแอร์ และไทยแอร์เอเชีย) ได้ร่วมกันระดมเงินทุน จำนวน 17 ล้านบาท เพื่อการจัดจ้างที่ปรึกษาทางการบินต่างชาติเพื่อจัดการอบรม และให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคต่อกรมการบินพลเรือนไทย และสายการบินที่จดทะเบียนในประเทศไทย ทั้งนี้ ผลสำเร็จของความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ และเอกชนของไทยดังกล่าวจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อ ICAO นำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ และ US FAA เริ่มการตรวจสอบในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้
สิ่งสำคัญที่ไทยควรตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการปรับลดอันดับความปลอดภัยทางการบิน และเตรียมพร้อมรับมือ บทเรียนของฟิลิปปินส์ทำให้เห็นว่าการคืนสถานะสามารถทำได้ แต่กระบวนการดังกล่าวอาจต้องใช้เวลา โดยฟิลิปปินส์ใช้เวลาถึง 4 ปี ในการปรับปรุงมาตรฐานการบินเพื่อให้ ICAO ยกเลิกสถานะ SSC ในขณะเดียวกัน การเลื่อนอันดับเป็นประเภท 1 ของ US FAA ใช้เวลาถึง 6 ปี ดังนั้น อีไอซีแนะภาครัฐ และเอกชนควรจับมือกันที่จะแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และรวดเร็วหากมีการปรับลดสถานะความปลอดภัยทางการบิน สายการบินของไทยจะเผชิญต่อการสูญเสียรายได้ และมีรายจ่ายที่สูงขึ้น รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงจากสายการบินต่างชาติ
นอกจากการสูญเสียความนิยมจากฐานลูกค้าทำให้จำนวนผู้โดยสาร และรายได้ลดลงแล้ว สายการบินของไทยอาจต้องเผชิญต่อต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นจากการปรับเพิ่มค่าเช่าเครื่องบินและเบี้ยประกัน ตลอดจนเงื่อนไขการซ่อมบำรุงที่มีความเข้มงวดมากขึ้น รวมไปถึงธุรกิจการบินจะมีการแข่งขันเพิ่มขึ้นจากการที่สายการบินต่างชาติเพิ่มบริการในเส้นทางการบินผ่านประเทศไทย เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในส่วนที่สายการบินของไทยไม่สามารถรองรับได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ สายการบินของไทยอาจต้องสูญเสียบุคลากรให้แก่คู่แข่งต่างชาติที่มีความต้องการเพิ่มอัตรากำลังอีกด้วย ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลกระทบตามประเภทบริการการบิน พบว่า ธุรกิจเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากจะต้องได้รับการอนุมัติการบินเป็นกรณี สำหรับสายการบินเต็มรูปแบบ และสายการบินต้นทุนต่ำที่ให้บริการเส้นทางระยะกลางจะมีข้อจำกัดในการขยายกิจการเนื่องจากไม่สามารถเพิ่มเส้นทางบินใหม่ หรือจำนวนเที่ยวบินในเส้นทางเดิมได้ ในขณะที่สายการบินต้นทุนต่ำในประเทศ จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยสุด
การปรับลดอันดับความปลอดภัยของการบินในไทยจะมีผลกระทบเล็กน้อยต่อผู้โดยสาร สนามบิน และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย EIC คาดว่าผู้โดยสารจะยังคงได้รับผลประโยชน์จากราคาตั๋วเครื่องบินที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการแข่งขันในปัจจุบันที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ สนามบินภายในประเทศ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเนื่องจากสายการบินอื่นๆ สามารถเข้ามาทดแทนบริการของสายการบินของไทย ดังกรณีของฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่ถูกปรับลดอันดับความปลอดภัยด้านการบิน แต่กลับพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว โดยนักท่องเที่ยวจากทวีปยุโรปเดินทางเข้าอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้นถึง 10% ต่อปี ในช่วงที่ EASA ได้สั่งห้ามสายการบินทะเบียนอินโดนีเซีย บินเข้ายุโรป เป็นต้น