นักวิเคราะห์ปรับลดเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสิ้นปีลงเหลือ 1,580 จุดตามการปรับลดการคาดการณ์ GDP ปี 58 ลงเหลือ 3.5% จาก 4% แนะนำ ลดพอร์ตหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จากความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสอ่อนตัว ล่าสุด วานนี้ดัชนีร่วงหนักปิดที่ 1,476.87 จุด ลดลงกว่า 19 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉียด 3.8 หมื่นล้าน หลังนักลงทุนกังวลกรีซอาจผิดนัดชำระหนี้
นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ หรือ KGI มองแนวโน้มตลาดเดือนมิถุนายนยังแกว่งในกรอบจำกัด อาจมีโอกาสฟื้นตัวหากวิกฤตหนี้กรีซมีทางคลี่คลาย พร้อมกันนี้ คาดการณ์ว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กนง. ยังคงดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป
ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ KGI คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FOMC จะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในเดือนกันยายน แต่สถิติใน cycle ก่อนๆ ชี้ว่า ตลาดหุ้นโลกอาจถูกกดดัน 3 เดือนก่อนดอกเบี้ยขึ้นจริง ซึ่งความคาดหวังดังกล่าวผนวกกับโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 0.25% น่าจะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าต่อ และกดดันทุนต่างชาติได้
“มองว่าเดือน มิ.ย.กระแสทุนต่างชาติยังไม่มีความชัดเจน ท่ามกลางปัจจัยมหภาคทั้งใน และนอกประเทศยังผันผวน ในเดือนนี้จะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนจะจับตาสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ตาม SET อาจมีช่วงฟื้นตัวในเดือนนี้ได้บ้าง หากมีข้อสรุปเรื่องการเจรจาหนี้สินของกรีซ รวมทั้งประเด็นการลดดอกเบี้ยนโยบาย” นักวิเคราะห์ กล่าว
พร้อมกันนี้ KGI พิจารณาปรับลดเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั้งปี 2558 ลงเหลือ 1,580 จุด จากเดิม 1,630 จุด ตามการปรับลดประมาณการ EPS ปี 2558 เนื่องด้วยการชะลอของตัวเลขเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และของภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคาร (ทั้งกลุ่ม) และหุ้นบางตัวในกลุ่มบ้านและที่ดิน ส่งผลให้ EPS ปีนี้ลดลงจาก 98.8 สู่ 95.7 และเป้าหมายดัชนีฯ สิ้นปี 2558 ลดลงจาก 1,630 สู่ 1,580 จุด (อิงเป้าหมาย PE ในระดับเดิมที่ 16.5 เท่า ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ย PE 5 ปีย้อนหลัง +1 S.D.)
“คาดว่า upside gain ส่วนใหญ่ของ SET จะเกิดในปลายไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 หลังจากมีความชัดเจนเรื่องดอกเบี้ยเฟดแล้ว” นักวิเคราะห์ กล่าว
ฝ่ายวิจัย KGI เลือกหุ้นแนะนำเดือนมิถุนายนเป็นหุ้นขนาดกลาง ซึ่งมีประเด็นการลงทุนเป็นบวก เช่น ความชัดเจนที่มากขึ้นต่อการลงทุนระบบราง และโครงสร้างพื้นฐาน (CK UNIQ TASCO) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยลดลง (ASK GL KTC) รวมทั้งหุ้นที่เชื่อมโยงกับแนวโน้มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง (AOT) เป็นต้น
สอดคล้องต่อฝ่ายวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเดือนมิถุนายนจะฟื้นตัวในกรอบจำกัด โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FOMC ยังคงไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. แต่การส่งสัญญาณครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อทิศทางตลาดฯ ในเดือน มิ.ย.ได้ทั้งบวกและลบ โดยคาดว่า กลุ่มธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง และสื่อสาร จะเป็นกลุ่มนำตลาดฯ แต่ควรเพิ่มความระมัดระวังกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
“เราคาดว่าช่วงเวลาที่ SET Index มีโอกาสฟื้นตัวมากที่สุด คือ หลังการประชุม FOMC วันที่ 17 มิ.ย. ซึ่งถือว่าเป็นการประชุมที่ถูกจับตามากที่สุดของปี เนื่องจากมีนักเศรษฐศาสตร์บางท่านคาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจาก CME Group ระบุว่า ความน่าจะเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกเป็น 0.25% อยู่ที่ 56% เพิ่มขึ้นจากระดับ 50% ในเดือนก่อนหน้า” นักวิเคราะห์ กล่าว
ส่วนปัจจัยในประเทศ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาดการณ์ว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กนง.วันที่ 10 มิ.ย. จะยังคงสนับสนุนการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี 58 แต่หาก กนง.ไม่ลดอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะส่งผลดีในระยะสั้นต่อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งราคาในปัจจุบันลดลงมามาก ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองยังคงต้องติดตามความคืบหน้าในเรื่องการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากทุกฝ่ายยอมรับให้มีการทำประชามติ ซึ่งทำให้การเลือกตั้งจะถูกเลื่อนออกไปอีกเป็นปลายปี 2559
พร้อมแนะนำ แบ่งเงินทุนเป็น 2 ส่วน เพื่อซื้อในระดับ 1,480 จุด และ 1,460 จุด แต่ทั้งนี้เราแนะนำลดพอร์ตหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จากความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสอ่อนตัว โดยกลยุทธ์สำหรับการลงทุนระยะสั้น (1-2 เดือน) แนะนำหุ้นที่ราคาลดลงแรงแล้ว VGI BJC TTCL STPI CPF SPALI BANPU THCOM และ LPN เป็นต้น
กลยุทธ์สำหรับการลงทุนระยะกลาง (3 เดือน) แนะนำหุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/58 จะออกมาดี แต่ราคายังคงถูก ได้แก่ SCC INTUCH THCOM SAMART BCP และ KCE เป็นต้น และกลยุทธ์สำหรับการลงทุนระยะยาว (6-12 เดือน) แนะนำซื้อสะสมหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะโดดเด่นในระยะสั้น ได้แก่ TASCO BMCL CK INTUCH ตามความหวังในเรื่องโครงการลงทุนของรัฐบาล ได้แก่ โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และดิจิตอลอีโคโนมี ส่วนหุ้นที่เหลือเป็นการลงทุนตามปัจจัยเด่นเฉพาะตัว
*** ผวา! หนี้กรีซ-ต่างชาติทิ้ง 1.6 พันล้าน
สำหรับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นวานนี้ (2 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายช่วงเช้า จากปัจจัยลบปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซที่กำลังจะครบกำหนด กดดันให้แตะระดับต่ำสุด 1,476.28 จุด สูงสุด 1,494.19 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,476.87 จุด ลดลงจากวันก่อน 19.18 จุด หรือ 1.28% มูลค่าการซื้อขาย 37,997.71 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 1,663.43 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 461.64 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 674.49 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 2,799.57 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ PTT ราคาปิด 342 บาท ลดลง 5 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,048.34 ล้านบาท TASCO ปิด 20 บาท เพิ่มขึ้น 2.20 บาท มูลค่า 1,832.67 ล้านบาท และ SCB ปิดที่ 154 บาท ลดลง 4.50 บาท มูลค่า 1,730.40 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ หรือ KGI มองแนวโน้มตลาดเดือนมิถุนายนยังแกว่งในกรอบจำกัด อาจมีโอกาสฟื้นตัวหากวิกฤตหนี้กรีซมีทางคลี่คลาย พร้อมกันนี้ คาดการณ์ว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กนง. ยังคงดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป
ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ KGI คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FOMC จะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในเดือนกันยายน แต่สถิติใน cycle ก่อนๆ ชี้ว่า ตลาดหุ้นโลกอาจถูกกดดัน 3 เดือนก่อนดอกเบี้ยขึ้นจริง ซึ่งความคาดหวังดังกล่าวผนวกกับโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 0.25% น่าจะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าต่อ และกดดันทุนต่างชาติได้
“มองว่าเดือน มิ.ย.กระแสทุนต่างชาติยังไม่มีความชัดเจน ท่ามกลางปัจจัยมหภาคทั้งใน และนอกประเทศยังผันผวน ในเดือนนี้จะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนจะจับตาสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ตาม SET อาจมีช่วงฟื้นตัวในเดือนนี้ได้บ้าง หากมีข้อสรุปเรื่องการเจรจาหนี้สินของกรีซ รวมทั้งประเด็นการลดดอกเบี้ยนโยบาย” นักวิเคราะห์ กล่าว
พร้อมกันนี้ KGI พิจารณาปรับลดเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั้งปี 2558 ลงเหลือ 1,580 จุด จากเดิม 1,630 จุด ตามการปรับลดประมาณการ EPS ปี 2558 เนื่องด้วยการชะลอของตัวเลขเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และของภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคาร (ทั้งกลุ่ม) และหุ้นบางตัวในกลุ่มบ้านและที่ดิน ส่งผลให้ EPS ปีนี้ลดลงจาก 98.8 สู่ 95.7 และเป้าหมายดัชนีฯ สิ้นปี 2558 ลดลงจาก 1,630 สู่ 1,580 จุด (อิงเป้าหมาย PE ในระดับเดิมที่ 16.5 เท่า ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ย PE 5 ปีย้อนหลัง +1 S.D.)
“คาดว่า upside gain ส่วนใหญ่ของ SET จะเกิดในปลายไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 หลังจากมีความชัดเจนเรื่องดอกเบี้ยเฟดแล้ว” นักวิเคราะห์ กล่าว
ฝ่ายวิจัย KGI เลือกหุ้นแนะนำเดือนมิถุนายนเป็นหุ้นขนาดกลาง ซึ่งมีประเด็นการลงทุนเป็นบวก เช่น ความชัดเจนที่มากขึ้นต่อการลงทุนระบบราง และโครงสร้างพื้นฐาน (CK UNIQ TASCO) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยลดลง (ASK GL KTC) รวมทั้งหุ้นที่เชื่อมโยงกับแนวโน้มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง (AOT) เป็นต้น
สอดคล้องต่อฝ่ายวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเดือนมิถุนายนจะฟื้นตัวในกรอบจำกัด โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FOMC ยังคงไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. แต่การส่งสัญญาณครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อทิศทางตลาดฯ ในเดือน มิ.ย.ได้ทั้งบวกและลบ โดยคาดว่า กลุ่มธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง และสื่อสาร จะเป็นกลุ่มนำตลาดฯ แต่ควรเพิ่มความระมัดระวังกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
“เราคาดว่าช่วงเวลาที่ SET Index มีโอกาสฟื้นตัวมากที่สุด คือ หลังการประชุม FOMC วันที่ 17 มิ.ย. ซึ่งถือว่าเป็นการประชุมที่ถูกจับตามากที่สุดของปี เนื่องจากมีนักเศรษฐศาสตร์บางท่านคาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจาก CME Group ระบุว่า ความน่าจะเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกเป็น 0.25% อยู่ที่ 56% เพิ่มขึ้นจากระดับ 50% ในเดือนก่อนหน้า” นักวิเคราะห์ กล่าว
ส่วนปัจจัยในประเทศ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาดการณ์ว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กนง.วันที่ 10 มิ.ย. จะยังคงสนับสนุนการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี 58 แต่หาก กนง.ไม่ลดอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะส่งผลดีในระยะสั้นต่อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งราคาในปัจจุบันลดลงมามาก ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองยังคงต้องติดตามความคืบหน้าในเรื่องการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากทุกฝ่ายยอมรับให้มีการทำประชามติ ซึ่งทำให้การเลือกตั้งจะถูกเลื่อนออกไปอีกเป็นปลายปี 2559
พร้อมแนะนำ แบ่งเงินทุนเป็น 2 ส่วน เพื่อซื้อในระดับ 1,480 จุด และ 1,460 จุด แต่ทั้งนี้เราแนะนำลดพอร์ตหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จากความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสอ่อนตัว โดยกลยุทธ์สำหรับการลงทุนระยะสั้น (1-2 เดือน) แนะนำหุ้นที่ราคาลดลงแรงแล้ว VGI BJC TTCL STPI CPF SPALI BANPU THCOM และ LPN เป็นต้น
กลยุทธ์สำหรับการลงทุนระยะกลาง (3 เดือน) แนะนำหุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/58 จะออกมาดี แต่ราคายังคงถูก ได้แก่ SCC INTUCH THCOM SAMART BCP และ KCE เป็นต้น และกลยุทธ์สำหรับการลงทุนระยะยาว (6-12 เดือน) แนะนำซื้อสะสมหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะโดดเด่นในระยะสั้น ได้แก่ TASCO BMCL CK INTUCH ตามความหวังในเรื่องโครงการลงทุนของรัฐบาล ได้แก่ โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และดิจิตอลอีโคโนมี ส่วนหุ้นที่เหลือเป็นการลงทุนตามปัจจัยเด่นเฉพาะตัว
*** ผวา! หนี้กรีซ-ต่างชาติทิ้ง 1.6 พันล้าน
สำหรับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นวานนี้ (2 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายช่วงเช้า จากปัจจัยลบปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซที่กำลังจะครบกำหนด กดดันให้แตะระดับต่ำสุด 1,476.28 จุด สูงสุด 1,494.19 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,476.87 จุด ลดลงจากวันก่อน 19.18 จุด หรือ 1.28% มูลค่าการซื้อขาย 37,997.71 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 1,663.43 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 461.64 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 674.49 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิ 2,799.57 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ PTT ราคาปิด 342 บาท ลดลง 5 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,048.34 ล้านบาท TASCO ปิด 20 บาท เพิ่มขึ้น 2.20 บาท มูลค่า 1,832.67 ล้านบาท และ SCB ปิดที่ 154 บาท ลดลง 4.50 บาท มูลค่า 1,730.40 ล้านบาท