โดย ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ
Dr.win@one-asset.com
ประเด็นที่กำลังอยู่ในความสนใจของตลาดในสัปดาห์หน้า ผมมั่นใจว่าหลีกไม่พ้นเรื่องการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุม FOMC ซึ่งเป็นความกังวลของนักลงทุนตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน ปี 56 และทำให้ตลาดหุ้นเริ่มปรับฐานลง เงินทุนเริ่มไหลกลับตั้งแต่ช่วงดังกล่าวเป็นต้นมา ประกอบกับภาวะการลงทุนในช่วงนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาแทรกเพิ่มเติม อาทิ เรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน ทำให้เรื่องทิศทางของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดกลับมาเป็นปัจจัยสำคัญให้ต้องติดตามทิศทางการลงทุนในช่วงนี้
โดยที่ผ่านมาการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ความสำคัญต่อเสถียรภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศพอสมควร เพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มต้นทุนทางการเงิน ซึ่งการที่เฟดจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดรอตัวเลขที่สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจ อาทิ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจต่างๆของสหรัฐฯ ทั้งในส่วนของภาคการผลิตและภาคการบริโภค โดยเฉพาะตัวเลขภาคการจ้างงาน ถือเป็นดัชนีชี้วัดตัวหนึ่งที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าผู้ประกอบการในประเทศได้เพิ่มกำลังคนในการดำเนินธุรกิจต่อได้ มีการจ้างงานซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการบริโภค
อย่างไรก็ดี จากพัฒนาการตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ทยอยประกาศออกมาเริ่มดีขึ้น และปัจจัยที่ผมมองว่าจะเป็นข้อมูลของเฟดในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย คือ แนวโน้มของตลาดแรงงานที่เริ่มตึงตัว โดยตัวเลขการว่างงานที่ประกาศออกมาในช่วงต้นสัปดาห์ซึ่งอยู่ในภาวะสมดุล โดยตัวเลขอัตราการว่างงานสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 5.1% ซึ่งเป็นระดับที่บอกได้ว่าหากจะมีการว่างงานเกิดขึ้นก็จะเป็นระดับของการว่างงานที่เต็มใจลาออกจากงานเพื่อหางานใหม่ ดังนั้น ณ ระดับตัวเลขดังกล่าวจึงถือว่าการจ้างงานของสหรัฐฯ อยู่ในระดับเต็มอัตราการจ้างงาน (full employment) จึงทำให้ผมคาดว่าเฟดน่าจะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ได้ ภายใต้สมมติฐานว่า “จะไม่มีความผันผวนในตลาดการเงินมากนัก”
อย่างไรก็ดี ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นประเทศคู่ค้า ยังมีความกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับต่ำ เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวลง อาทิ ทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีท่าทีเตรียมพร้อมสำหรับการยืดมาตรการใช้ QE จากปัจจุบันที่ยังมีการอัดฉีดเงินเข้าระบบผ่าน QE เดือนละ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเนื่องจนถึง 9 กันยายน ปีหน้า(2559) และยังคงดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป โดยคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำที่ 0.05% ในขณะที่ทางเอเชีย ประเทศญี่ปุ่น อัตราเงินเฟ้อตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 1.22% ซึ่งก็ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2%
และด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมมองว่าสหรัฐฯ จะไม่ประกาศปรับขึ้นต้นทุนทางการเงินหรือปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนเกินความคาดหมายของตลาด เพราะหากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ยังไม่แข็งแรงพอความสามารถในการทำธุรกิจการค้าก็ลดลง สุดท้ายก็จะส่งผลกระทบกลับมายังเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตามเดิม ด้วยเหตุผลปัจจัยแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และของประเทศเพื่อนบ้านคู่ค้าต่างๆ ดังกล่าว จึงเป็นที่มาว่าถึงเวลาที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่จะพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยใดต้องติดตาม หากปรับขึ้นแบบโดดเด่นเกินกว่า 0.25% และเหนือความคาดหมายของตลาดระยะสั้นก็มีโอกาสกระทบบรรยากาศการลงทุนต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเฟดจะเลือกแนวทางไหน จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบเดือนกันยายนนี้หรือไม่ สำหรับผมมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของตลาด แต่ประเด็นที่ผมให้ความสนใจคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วจะกระทบสินทรัพย์อะไรถัดจากนี้ เพราะผู้ลงทุนควรปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ โดยในแง่ของการลงทุนหากการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามกำหนดการเดิมที่ตลาดคาดการณ์คือในรอบการพิจารณาครั้งนี้และอยู่ในระดับที่ไม่เหนือความคาดหมายก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้ว ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารพาณิชย์ ภาคการบริโภคต่างๆ ของสหรัฐฯ ให้มีทิศทางที่ดีขึ้น ในทางกลับกัน หากพิจารณากำหนดการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเลื่อนออกไป ความไม่แน่นอนจะยังคงมีอยู่ในตลาดหุ้นต่อไป ซึ่งจะส่งผลดีต่ออัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ประเภท High Yield หรือตราสารประเภท non-investment grade แต่เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่จะกลับมามีความน่าสนใจ รวมไปถึงสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ อาทิ ทองคำ
เหตุผลอะไรบ้างที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้
- ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมา มองยังไงตัวเลขบางส่วนยังมีความขัดแย้งกัน ในส่วนภาคการผลิตและภาคการบริโภค ทุกตัวอย่างไม่ดีขึ้นแบบชัดเจน
จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดบ้างหากเฟดปรับดอกเบี้ยในรอบนี้
- หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยแล้ว มองว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตลาด
- สินทรัพย์แต่ละประเภทอะไรจะเริ่มกลับมาน่าสนใจจากนักลงทุน และสินทรัพย์อะไรที่ยังไม่ได้ส่งผลกระทบในเชิงบวก
•นักลงทุนสามารถสอบถามเพิ่มเติมและขอรับร่างหนังสือชี้ชวนได้ที่ฝ่ายบริการลูกค้าและสนับสนุนธุรกิจที่หมายเลข 0-2659-8888 ต่อ 1 ครับ
•“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน”