xs
xsm
sm
md
lg

“TNITY” ยัน 4 ปัจจัยดันหุ้นไทยแตะ 1,500 จุด แนะจับตา “นาโนไฟแนนซ์-เช่าซื้อ-อิเล็กทรอนิกส์” พุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด
บล.ทรีนีตี้ ประเมิน 4 เหตุการณ์บวกพยุงตลาดหุ้นไทยยืน 1,500 จุด พร้อมปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุน แนะถือลงทุนหุ้นกลุ่มนาโนไฟแนนซ์-เช่าซื้อ-อิเล็กทรอนิกส์ รับ กนง.ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.5% และทยอยซื้อสะสมหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี หลังแนวโน้มราคาน้ำมันพุ่ง-ดอลลาร์สหรัฐ
        
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ประเมินแนวโน้มความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ของตลาดหุ้นไทยเริ่มจำกัดมากขึ้น โดยมองว่า Downside ของดัชนีในระยะสั้นน่าจะถูกจำกัดที่บริเวณ 1,500 จุด จาก 4 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (29 เม.ย.) ได้แก่ การปรับลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลงเหลือ 1.5% เพื่อกระตุ้นภาคส่งออก ซึ่งถึงแม้การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้อาจทำให้เกิดกระแสเงินลงทุน (Fund flow) ไหลออกในระยะสั้น แต่เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะพยุงตัวได้ หลังค่าความเสี่ยงโดยรวมที่ยอมรับได้ (Risk appetite) ของนักลงทุนภายในประเทศที่สูงขึ้น รวมไปถึงปรากฏการณ์ P/E expansion ที่น่าจะทำให้มูลค่าพื้นฐานหุ้นหลายบริษัทถูก Re-rated ในช่วงถัดไป ซึ่งระยะสั้น ส่งผลบวกต่อกลุ่มนาโนไฟแนนซ์, เช่าซื้อ และอิเล็กทรอนิกส์
        
ขณะที่เหตุการณ์ที่สอง ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ออกมาน่าผิดหวัง โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสต่อไตรมาส ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) ปรับตัวอ่อนค่าในระยะสั้น ส่งผลบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงน้ำมันปรับตัวขึ้นด้วย เหตุการณ์ที่สาม สต๊อกน้ำมัน ณ จุดส่งมอบ Cushing สหรัฐฯ ที่ปรับตัวลง ถือเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยมองการปรับตัวลงดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งชี้ว่าปัญหาอุปทานส่วนเกินเริ่มบรรเทาลงแล้ว

“จากสถานการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และสต๊อกน้ำมันที่ลดลง มองว่าจะส่งผลบวก และทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาด โดยมองว่า หุ้นกลุ่มนี้หลายบริษัทยังมี Functional currency เป็นสกุลเงิน USD ด้วย ซึ่งจะได้ประโยชน์ในช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าอีกต่อหนึ่ง”

สำหรับเหตุการณ์สุดท้าย ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่มีแนวโน้มจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า ระหว่างวันที่ 16-17 มิถุนายน หลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อคืนนี้ (29 เม.ย.) บ่งชี้ว่า Fed มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจมากขึ้นเมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อน

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นปรับเพิ่มคำแนะนำจากเดิม “Wait & see” เป็น “Cumulative buy on weakness” โดยแนะนำถือหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยต่อไป ได้แก่ SAWAD, MTLS, GL, ASK, JMT, HANA และแนะนำทยอยสะสมหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ได้แก่ PTT, BANPU, TOP, PTTGC, SCC
กำลังโหลดความคิดเห็น