รายงานจาก SET NOTE จากฝ่ายวิจัยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่าการวางรากฐานทางการเงินในระดับครัวเรือนให้พร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุเป็นโจทย์สำคัญของประเทศไทยในปัจจุบัน การออมและการลงทุนระยะยาวเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสร้างสังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ ที่ผ่านมาภาครัฐส่งเสริมการเตรียมพร้อมด้านการออมและการลงทุนระยะยาวมาอย่างต่อเนื่องและมีความคืบหน้ามาเป็นลำดับ
แม้ว่าสินทรัพย์เพื่อการออมและการลงทุนระยะยาวในประเทศไทยจะเติบโต แต่สัดส่วนมูลค่าสินทรัพย์เพื่อการออมและการลงทุนระยะยาวของครัวเรือนไทยอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 32% ของสินทรัพย์รวม ซึ่งต่ำกว่าครัวเรือนสิงคโปร์ที่มีสัดส่วนการออมและการลงทุนระยะยาวเฉลี่ย 45% ของสินทรัพย์รวม ยิ่งกว่านั้นมูลค่าสินทรัพย์เพื่อการออมและการลงทุนภาคครัวเรือนของไทยมีมูลค่าต่ำกว่าสิงคโปร์มากโดยสัดส่วนสินทรัพย์ฯ ของครัวเรือนไทยอยู่ที่ 1.25 เท่าของ GDP ในขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ 2.40 เท่าของ GDP
ภาครัฐจึงควรดำเนินมาตรการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวทุกประเภทอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคสมัครใจ อีกทั้งควรสนับสนุนการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อการออมและการลงทุนระยะยาวให้ครอบคลุมครัวเรือนทั่วประเทศ การพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมควรคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศในภาพรวมโดยอาจต้องยอมลดภาษีที่จัดเก็บได้ลงเพื่อแลกกับการเติบโตของการออมและการลงทุนระยะยาวภาคสมัครใจ ซึ่งจะนำไปสู่การลดภาระรัฐสวัสดิการในระยะยาวเพื่อวางรากฐานทางการเงินในระดับครัวเรือนให้พร้อมรับสังคมผู้สูงอายุ