โออิชิ กรุ๊ป เผยแผนสร้างรายได้ 5 ปี ตั้งเป้าแตะ 4.3 หมื่นล้านบาท วางฐานกำไรต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 12% พร้อมเปลี่ยนเกมส์รุกกระจายความเสี่ยงขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น 55% จากที่มีอยู่เพียง 12-15% ในปัจจุบัน พร้อมจ่อซื้อกิจการรีเทลสร้างรายได้เพิ่ม
นายมารุต บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.โออิชิ กรุ๊ป หรือ OISHI กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีนี้โตไว้ไม่น้อยกว่า 25% หรือประมาณ 15,500 ล้านบาท เทียบสัดส่วนจากปี 2557 ที่ทำได้ 12,405 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2% จากปี 2557 ที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 4.2% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 33.9% โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจอาหารประมาณ 8,500 ล้านบาท หรือ 55% และธุรกิจเครื่องดื่มประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือ 45% พร้อมกันนี้ บริษัทฯ เตรียมเงินลงทุนจำนวน 900 ล้านบาทในการขยายสาขาเพิ่มอีก 255 สาขา
อย่างไรก็ดี ในปีนี้บริษัทฯ ได้อนุมัติงบลงทุนปีนี้ 900 ล้านบาท เพื่อเปิดสาขาเพิ่มเป็น 255 สาขา จากปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 225 สาขา อีกทั้งจะขยายกำลังการผลิตในธุรกิจเครื่องดื่มจำนวน 200 ล้านบาท และธุรกิจอาหารประมาณ 600 ล้านบาท และอีก 100 ล้านบาทเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำรองในการปรับปรุงสาขา ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้วางงบลงทุนในการทำตลาดเครื่องดื่ม 14% ของงบลงทุนรวม และ 5% สำหรับธุรกิจอาหาร ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ยังคงมั่นใจว่าจะเป็นผู้นำตลาดชาเชียวพร้อมดื่ม โดยส่วนแบ่งการตลาดของชาเขียว ณ สิ้นปี 2557 อยู่ที่ 45% ซึ่งห่างจากคู่แข่งที่มีส่วนแบ่งการตลาด 32%
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้วางแผนในการพัฒนาธุรกิจระยะยาว 5 ปี (2559-2563) ที่จะเพิ่มยอดขายให้มีรายได้ถึงกว่า 43,000 ล้านบาท จากสัดส่วนธุรกิจอาหารประมาณ 13,000 ล้านบาท และธุรกิจเครื่องดื่มประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจะสามารถเติบโตได้ปีละ 12% ต่อเนื่องถึงปี 2563 ซึ่งจะเติบโตจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่ต้องการบริโภคชาอย่างแท้จริง และตอบสนองกับผู้บริโภคที่สนใจในสุขภาพโดยมีการออกน้ำสมุนไพรต่างๆ เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเพิ่มสัดส่วนการขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 55% จากปัจจุบันที่อยู่ 12-15% เพื่อกระจายความเสี่ยง และรองรับความต้องการของตลาดอาเซียนที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นจำนวนมาก โดยจะเน้นตลาดกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งบริษัทฯ ได้ส่งมีการส่งสินค้าไปขายบ้างแล้ว ในประเทศมาเลเซีย ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และพม่า และเตรียมที่จะส่งออกไปขายยังประเทศเวียดนามอีกด้วย
ทั้งนี้ อยู่ในช่วงของการพิจารณาเลือกลงทุนในการเข้าซื้อกิจการ หรือ M&A ในธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และขนม โดยจะเน้นสินค้าที่มีความต้องการในตลาดเช่นสินค้าของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาโดยจะพิจารณาเลือกจากขนาดของถ้าเป็นธุรกิจอาหารจะต้องสามารถทำยอดขายได้ 100 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนธุรกิจเครื่องดื่มมียอดขายเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป