เอพีฯ เชื่ออสังหาฯ ปี 58 โต 7-8% จากปัจจัยบวกนโยบายรัฐบาลเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า ดอกเบี้ยทรงตัวระดับต่ำ ฟุ้งยอดขาย 2 เดือนแรกทะลุ 4,000 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 30,000 ล้านบาท เผยทุ่มงบ 11,000 ล้านบาท ลุยซื้อที่ดินรองรับแผนเติบโตปี 58 ตั้งเป้ารายได้ 2.53 หมื่นล้าน เปิด 27 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 36,015 ล้านบาท
นายวิทการ จันทรวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน ) AP กล่าวว่า ปีนี้จะเป็นที่ดีพอสมควรของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยมีปัจจัยบวกจากภาวะการเมืองสงบ ความเชื่อมั่นฟื้นตัว นโยบายภาครัฐที่สนับสนุนระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างและส่วนต่อขยาย ซึ่งจะทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวมากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในภาวะทรงตัวจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าทั้งปีตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตประมาณ 7-8%
สำหรับภาวะตลาดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาถือว่าเติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายแล้ว 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายโครงการแนวราบ 2,900 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 1,100 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายในช่วงไตรมาส 1 ตั้งไว้ที่ 4,300 ล้านบาท
แม้ว่ายอดขายดังกล่าวจะเกินกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ แต่บริษัทยังคงพยายามสร้างยอดขายให้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้ทั้งปี โดยตั้งเป้าไว้ที่ 30,000 ล้านบาท โตขึ้น 32% จากปี 57 ที่มียอดขาย 22,600 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายรายได้ตั้งเป้าไว้ที่ 25,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 57 ที่มีรายได้ 23,100 ล้านบาท
ลุยเปิดคอนโดฯ ติดรถไฟฟ้า 10 โครงการมูลค่า 22,370 ล้านบาท
ส่วนแผนลงทุนปี 58 เปิด 27 โครงการใหม่มูลค่า 36,015 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 10 โครงการ มูลค่า 22,370 ล้านบาท โดยทุกโครงการจะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าไม่เกิน 500 เมตรโดยทั้ง 10 โครงการ ประกอบด้วย 1. LIFE อโศก เพียงก้าวเดียวถึงสถานีเพชรบุรี 2. Aspire เอราวัณ เพียง 1 ก้าวจากสถานีเอราวัณ 3. Aspire สาทร-ราชพฤกษ์ 1 ก้าวจากสถานีบางหว้า 4. Aspire ลาดพร้าว 113 เพียง 100 เมตรจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีบางกะปิ
5. RHYTHM รางน้ำ 100 เมตร จากสถานีอนุสาวรีย์ 6. Aspire วุฒากาศ 200 เมตร จากสถานีวุฒากาศ 7. Aspire จรัญสนิทวงศ์ 40/1 เพียง 40 เมตร จากสถานีบางยี่ขัน 8. Aspire สาทร-ตากสิน คอปเปอร์โซน 300 เมตร จากสถานีวุฒากาศ 9. LIFE สุขุมวิท 48 ห่างจากสถานีพระโขนง 500 เมตร และอีก 1 โครงการอยู่ระหว่างการจัดหาที่ดิน ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการที่ 1-6 ภายในเดือนมิถุนายนนี้ ที่เหลือก็จะทยอยเปิดตัวในไตรมาส 3 และ 4 ต่อไป
เปิดทาวน์เฮาส์ 10 โครงการมูลค่า 8,200 ล้านบาท
สำหรับโครงการทาวน์เฮาส์ มีแผนเปิด 10 โครงการ มูลค่า 8,200 ล้านบาท ได้แก่ 1. บ้านกลางเมือง พหลโยธิน 50 จำนวน 108 ยูนิต มูลค่าโครงการ 570 ล้านบาท เปิดขายช่วงไตรมาส 2/58, 2. โครงการพรีโน่ สุขสวัสดิ์ 66 จำนวน 277 ยูนิต มูลค่าโครงการ 830 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 2/58, 3. โครงการพรีโน่ ราชพฤกษ์-พระราม 5 จำนวน 301 ยูนิต มูลค่าโครงการ 860 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/58,
4. บ้านกลางเมือง พระราม 2 ซ. 50 จำนวน 50 ยูนิต มูลค่าโครงการ 390 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/58, 5. บ้านกลางเมือง สวนหลวง ร.9 จำนวน 610 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/58, 6. พรีโน่ รัตนาธิเบศร์ จำนวน 276 ยูนิต มูลค่าโครงการ 670 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/58, 7. พรีโน่ สุขสวัสดิ์ พระราม 3 จำนวน 319 ยูนิต มูลค่าโครงการ 840 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/58, 8. ดิสทริค ลาดพร้าว 113 จำนวน 17 ยูนิต มูลค่า 260 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/58 และอีก 2 โครงการที่เหลืออยู่ระหว่างซื้อที่ดิน
สำหรับบ้านเดี่ยวเปิด 7 โครงการ มูลค่า 5,445 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการ เดอะ ซิตี้ สุขุมวิท-บางนา จำนวน 94 ยูนิต มูลค่า 1,023 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 1/58, 2. โครงการ MIND พระราม 2-สาทร จำนวน 33 ยูนิต มูลค่าโครงการ 319 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 2/58, 3. โครงการ MIND พัฒนาการ จำนวน 179 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/58,
4. โครงการ เดอะ ซิตี้ นวมินทร์ 53 จำนวน 108 ยูนิต มูลค่าโครงการ 997 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/58, 5. โครงการ เซ็นโทร เฉลิมพระเกียรติ จำนวน 63 ยูนิต มูลค่าโครงการ 441 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/58, 6. โครงการ เซ็นโทร เพชรเกษม 112 จำนวน 70 ยูนิต มูลค่าโครงการ 262 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 4/58 และโครงการเดอะ ซิตี้ สายไหม จำนวน 212 ยูนิต มูลค่า 903 ยูนิต เปิดขายไตรมาส 4/58
ชะลอแผนลงทุนต่างจังหวัด
ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งงบประมาณซื้อที่ดินเพื่อลงทุนพัฒนาโครงการในอนาคตจำนวน 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 57 ที่ใช้งบซื้อที่ดินเพียง 8,000 ล้านบาท เนื่องจากการรองรับแผนการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นซื้อที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า และในเขตกรุงเทพฯ เป็นหลัก โดยปีนี้บริษัทไม่มีนโยบายขายลงทุนในต่างจังหวัดเนื่องจากตลาดในต่างจังหวัดมีอัตราการขยายตัวในระดับต่ำ
ขณะที่ยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ในปัจจุบันของบริษัทซึ่งรวมกับบริษัทร่วมทุนกับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มีจำนวน 25,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 13,800 ล้านบาท แบ่งเป็นการรับรู้รายได้จากโครงการแนวราบ 3,800 ล้านบาท และการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม 10,000 ล้านบาท และ Backlog ที่เหลือจะทยอยโอนในปีถัดไป
