นักลงทุนโอดมาตรการสกัดหุ้นร้อนตลาดหลักทรัพย์ฯ ยิ่งทำให้หุ้นผันผวนมากกว่าเดิม เหตุช่วงเวลาถือครองลดลง เพราะหวั่นติด Cash Balance จนราคาหุ้นทรุดจากถูกเทขาย ชี้ไม่ได้ช่วยสร้างเสถียรภาพตลาด ด้านภาพรวมสัปดาห์นี้คาดยังเห็นการปรับตัวเพิ่ม แนะติดตามการประชุม กนง.ที่อาจลดอัตราดอกเบี้ย
นักลงทุนรายใหญ่รายหนึ่งวิเคราะห์สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในช่วง 1 เดือนว่า ตลาดหุ้นไทยปรับฐานใหญ่ 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 3 มี.ค.2558 ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน แต่สวิงไปมาร่วม 20 จุด และต่อเนื่องมาถึงวันที่ 5 มี.ค. นั้น เกิดจากมาตรการ Cash Balance หรือมาตรการสกัดหุ้นร้อนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี 2558
“ก่อนหน้านี้นักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นไทยซื้อแล้วจะไม่รีบขาย แต่พอกฎเกณท์ที่ ตลท.ออกมาหยุมหยิมเกินไปจนเจ้าของหุ้น และผู้เล่นต้องระวังแจ หุ้นตัวเล็กบางตัวพื้นฐานดีก็ถือยาวไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าถ้าราคาวิ่งขึ้นไปติด Cash คนก็ไม่ถือแล้วและจะถูกเทขายลงมา จนราคาทรุด เพราะทุกวันนี้ราคาขึ้นไป 2 ช่อง ก็ขายทำกำไรหมดแล้ว ตลาดจึงสวิงแรง คนที่ขาดประสบการณ์ก็จะเจอปัญหาการขาดทุนสูงขนาดถอดใจไปหลายคน ทำให้ไม่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในตลาด เพราะเมื่อรายย่อยซึ่งเป็นรายเล็กในช่วงนี้มีโอกาสเสียมากกว่าได้ ทำให้ผู้เล่นในปัจจุบันเล่นกันอยู่ 3 กลุ่ม ซึ่ง 2 กลุ่มแรกคือ สถาบัน และโบรกเกอร์ โดยเฉพาะโบรกเกอร์ที่เล่นส่วนใหญ่จะเป็นเงินก้อนเดิมๆ โยกไปโยกมาเพื่อเล่นหุ้นในแต่ละกลุ่มสลับไปสลับมา” นักลงทุน กล่าว
ทั้งนี้ นักลงทุนรายเดิมเชื่อว่า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจทำให้ความน่าสนใจเข้าลงทุนในตลาดหุ้นสำหรับนักลงทุนรายย่อยลดลงไปด้วย ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อภาพโดยรวมของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะหลายรายเริ่มมองว่าไม่ได้ทำให้เกิดเสถียรภาพแก่ตลาดหุ้นไทย และกลับกันกลับทำให้ตลาดมีความผันผวนยิ่งขึ้นมากกว่า
ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 : Cash Balance ได้แก่หุ้น ABC, ABC-W1, BMCL, MAX, PACE, PAF, POLAR , POLAR-W2, S11, SAMCO, SUPER, SUPER-W1, SUPER-W2 ตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.-17 เม.ย.2558 PICO ตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.-27 มี.ค. 2558 และให้ขยายช่วงดำเนินการหลักทรัพย์ของ AJD, AJD-W1, AJD-W2, AJP, AJP-W1 เป็นวันที่ 9 มี.ค.-27 มี.ค.2558
ขณะที่ดัชนีหลักทรัพย์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 มี.ค.) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,568.29 จุด เพิ่มขึ้น 14.96 จุด หรือ 0.96% มูลค่าการซื้อขาย 45,672.76 ล้านบาท ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ฟื้นตัวตามตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ ช่วงท้ายตลาดดีดแรงกว่า 10 จุด รับจากแรงเก็งกำไรกรณีธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มทำมาตรการ QE รอบใหม่ 9 มี.ค.ราว 6 หมื่นล้านยูโร และเก็งกำไรจากกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับลดลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้สัปดาห์นี้คาดว่าดัชนีคงฟื้นตัวหลังปรับพอร์ตกันไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา โดยมีแนวต้าน 1,570 แนวรับ 1,558 จุด
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การฟื้นตัวที่แท้จริงจะต้องยืนเหนือ 1,570 จุด และต้องมีปริมาณการซื้อขายที่ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท จึงจะเป็นการฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย (2-6มี.ค.) ตลาดหุ้นไทยขยับลงจากความกังวลต่อการปรับลดประมาณการผลกำไรบริษัท รวมทั้งความกังวลต่อการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน หลังทางการจีนปรับลดเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้เหลือประมาณ 7% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นในวันศุกร์ จากแรงซื้อทางเทคนิค รวมทั้งแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ลดลง
ทำให้ในสัปดาห์นี้ (9-13 มี.ค.) ประเมินว่า ดัชนีมีแนวต้านที่ 1,584 และ 1,594 จุด ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 1,548 และ 1,537 จุด โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคงได้แก่ ผลการประชุม กนง.ในวันที่ 11 มี.ค.2558 รวมทั้งการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ดัชนีราคาผู้ผลิต และยอดค้าปลีก รวมถึงยังต้องจับตาการรายงานข้อมูลผลผลิตอุตสาหกรรมของจีน
นักลงทุนรายใหญ่รายหนึ่งวิเคราะห์สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในช่วง 1 เดือนว่า ตลาดหุ้นไทยปรับฐานใหญ่ 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 3 มี.ค.2558 ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน แต่สวิงไปมาร่วม 20 จุด และต่อเนื่องมาถึงวันที่ 5 มี.ค. นั้น เกิดจากมาตรการ Cash Balance หรือมาตรการสกัดหุ้นร้อนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี 2558
“ก่อนหน้านี้นักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นไทยซื้อแล้วจะไม่รีบขาย แต่พอกฎเกณท์ที่ ตลท.ออกมาหยุมหยิมเกินไปจนเจ้าของหุ้น และผู้เล่นต้องระวังแจ หุ้นตัวเล็กบางตัวพื้นฐานดีก็ถือยาวไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าถ้าราคาวิ่งขึ้นไปติด Cash คนก็ไม่ถือแล้วและจะถูกเทขายลงมา จนราคาทรุด เพราะทุกวันนี้ราคาขึ้นไป 2 ช่อง ก็ขายทำกำไรหมดแล้ว ตลาดจึงสวิงแรง คนที่ขาดประสบการณ์ก็จะเจอปัญหาการขาดทุนสูงขนาดถอดใจไปหลายคน ทำให้ไม่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาในตลาด เพราะเมื่อรายย่อยซึ่งเป็นรายเล็กในช่วงนี้มีโอกาสเสียมากกว่าได้ ทำให้ผู้เล่นในปัจจุบันเล่นกันอยู่ 3 กลุ่ม ซึ่ง 2 กลุ่มแรกคือ สถาบัน และโบรกเกอร์ โดยเฉพาะโบรกเกอร์ที่เล่นส่วนใหญ่จะเป็นเงินก้อนเดิมๆ โยกไปโยกมาเพื่อเล่นหุ้นในแต่ละกลุ่มสลับไปสลับมา” นักลงทุน กล่าว
ทั้งนี้ นักลงทุนรายเดิมเชื่อว่า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจทำให้ความน่าสนใจเข้าลงทุนในตลาดหุ้นสำหรับนักลงทุนรายย่อยลดลงไปด้วย ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อภาพโดยรวมของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะหลายรายเริ่มมองว่าไม่ได้ทำให้เกิดเสถียรภาพแก่ตลาดหุ้นไทย และกลับกันกลับทำให้ตลาดมีความผันผวนยิ่งขึ้นมากกว่า
ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 : Cash Balance ได้แก่หุ้น ABC, ABC-W1, BMCL, MAX, PACE, PAF, POLAR , POLAR-W2, S11, SAMCO, SUPER, SUPER-W1, SUPER-W2 ตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.-17 เม.ย.2558 PICO ตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.-27 มี.ค. 2558 และให้ขยายช่วงดำเนินการหลักทรัพย์ของ AJD, AJD-W1, AJD-W2, AJP, AJP-W1 เป็นวันที่ 9 มี.ค.-27 มี.ค.2558
ขณะที่ดัชนีหลักทรัพย์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 มี.ค.) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,568.29 จุด เพิ่มขึ้น 14.96 จุด หรือ 0.96% มูลค่าการซื้อขาย 45,672.76 ล้านบาท ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ฟื้นตัวตามตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ ช่วงท้ายตลาดดีดแรงกว่า 10 จุด รับจากแรงเก็งกำไรกรณีธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มทำมาตรการ QE รอบใหม่ 9 มี.ค.ราว 6 หมื่นล้านยูโร และเก็งกำไรจากกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับลดลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้สัปดาห์นี้คาดว่าดัชนีคงฟื้นตัวหลังปรับพอร์ตกันไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา โดยมีแนวต้าน 1,570 แนวรับ 1,558 จุด
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การฟื้นตัวที่แท้จริงจะต้องยืนเหนือ 1,570 จุด และต้องมีปริมาณการซื้อขายที่ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท จึงจะเป็นการฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย (2-6มี.ค.) ตลาดหุ้นไทยขยับลงจากความกังวลต่อการปรับลดประมาณการผลกำไรบริษัท รวมทั้งความกังวลต่อการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน หลังทางการจีนปรับลดเป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้เหลือประมาณ 7% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นในวันศุกร์ จากแรงซื้อทางเทคนิค รวมทั้งแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ลดลง
ทำให้ในสัปดาห์นี้ (9-13 มี.ค.) ประเมินว่า ดัชนีมีแนวต้านที่ 1,584 และ 1,594 จุด ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 1,548 และ 1,537 จุด โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคงได้แก่ ผลการประชุม กนง.ในวันที่ 11 มี.ค.2558 รวมทั้งการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ดัชนีราคาผู้ผลิต และยอดค้าปลีก รวมถึงยังต้องจับตาการรายงานข้อมูลผลผลิตอุตสาหกรรมของจีน