“นิพนธ์” ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตไม่น้อยกว่า 15-20% หรือ 1,000 ล้านบาท และในระยะ 3 ปี ตั้งเป้ารายได้แตะ 2,000 ล้านบาท ปูพรมขยายสาขาทั่วประเทศอีกกว่า 90 แห่ง รองรับงานก่อสร้างที่เพิ่มมากขึ้น แย้มอยู่ในช่วงแสวงหาพันธมิตเข้าร่วมลงทุนในลาว และพม่า รับ AEC คาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้
นายนิพนธ์ เจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เค.ซี.เมททอลชีท หรือ KCM กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์อัตรารายได้ในปีนี้จะดีกว่าปีก่อน จากเศรษฐกิจที่ปรับฟื้นตัวขึ้นมาเนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองยุติลง โดยคาดว่าบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากบริษัทหันมาให้ความสำคัญต่องานโครงการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิกลับมาอยู่ที่อัตรากำไรสุทธิปีนี้จะกลับมาอยู่ที่ 7-10% เนื่องจากบริษัทฯ ได้ใช้เงินลงทุนซื้อเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตเหล็ก จำนวน 4 เครื่อง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าสินค้า
“ผลกระทบจากปัญหาการเมืองในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชะลอตัวลง ตลอดจนถึงปัญหาโครงการการรับจำนำข้าว ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย แต่ในปีนี้สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ บริษัทจึงคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะกลับมาอยู่ที่ 7-10% จากปี 2557 ที่ผ่านมา กำไรสุทธิคงจะน้อยกว่าปี 2556 เนื่องจากปีนี้บริษัทฯ ได้เงินระดมทุนจากการขายหุ้น IPO นำมาซื้อเครื่องจักเพิ่มกำลังการผลิตเหล็ก ช่วยลดต้นทุนการนำเข้าสินค้าได้สูงถึง 20-25% รวมไปถึงการรับรู้รายได้จากโกดังให้เช่าที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้มีรายได้เข้ามาเฉลี่ย 5 แสนบาท/เดือน โดยมีค่าเสื่อมราคาเพียง 1 แสนบาท/เดือน ซึ่งส่วนต่างที่เกิดขึ้นจะคิดเป็นเป็นกำไรทั้งหมด และการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากงานก่อสร้างโครงการที่มีอัตรากำไรสุทธิสูงกว่าการขายเหล็กหน้าร้านจะช่วยให้ภาพรวมกำไรสุทธิปีนี้ดีขึ้น”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ในระยะ 3 ปี เติบโตขึ้นไม้ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ภายในปี 2560 โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากงานก่อสร้างโครงการเป็น 20-25% จากเดิมที่ 6-7% ขณะที่การขายเหล็กหน้าร้านจะลดสัดส่วนมาที่ 75% จาก 93% ในช่วงก่อนหน้านี้เพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และผลักดันผลประกอบการให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ขณะที่งานก่อสร้างโครงการมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 40% ส่วนการขายเหล็กหน้าร้านมีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 20-25% นอกจากนี้ นอกจากนี้บริษัทฯ เตรียมขยายสำนักงานขายขนาดเล็ก 92 แห่ง ตามแผน 3 ปี 2558-2560 จากปัจจุบันมีอยู่ 22 แห่ง โดยจะขยายในพื้นที่ภาคกลางตอนบน ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเน้นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น และบริษัทยังได้เตรียมทุ่มงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพื่อขยายสาขา โดยแบ่งเป็นเปิดสาขาที่มีโรงงาน 1 แห่ง มูลค่าลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท และขยายสาขาเพิ่ม 5-10 แห่ง ซึ่งเป็นสาขาที่มีเครื่องจักรเพิ่ม 3 แห่ง ในจังหวัดภูเก็ต แพร่ และลำปาง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 15-30 ล้านบาท รวมถึงจะใช้เงินลงทุนสร้างโกดัง ซึ่งเป็นที่ดินของบริษัทเป็นอาคารขนาด 13 ห้อง บนพื้นที่ 2 แปลงมูลค่าลงทุน 50 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมจะไปลงทุนด้านการจำหน่ายวัสดุก่อสร้างสำเร็จรูป และโกดังให้เช่าสินค้าในประเทศพม่า และลาว เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC โดยในขณะนี้อยู่ในช่วงของการศึกษาข้อมูล และความคุ้มค่าในการเข้าไปลงทุน ตลอดจนถึงการแสวงหาพันธมิตรคู่ค้าร่วมลงทุนในประเทศนั้นๆ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในปีนี้