xs
xsm
sm
md
lg

เขย “ทักษิณ” วางอนาคตเอสซีฯ 5 ปียอดขายแตะ 2 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” เขย “ทักษิณ” วางเป้าหมายเอสซีฯ ยอดขายแตะ 2 หมื่นล้านภายใน 5 ปี เผยแผนลงทุนปี 58 เปิด 7 โครงการ มูลค่า 14,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 13,000 ล้านบาท พุ่งเป้าบ้านหรูราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้น เชื่อตลาดยังโตได้ พร้อมขยายฐานลูกค้ากลุ่ม 3-5 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ Pave ประเดิมโครงการแรกรังสิต-คลอง 4 วางเป้า 

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 58 ว่า วางแผนเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่า 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านระดับพรีเมียม 4 โครงการ มูลค่ากว่า 6,400 ล้านบาท  คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่ากว่า 7,600 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายที่ 13,000 ล้านบาท หรือเติบโต 52% จากปี 2557 ขณะที่รายได้ตั้งเป้าโตจากปี 57 กว่า 20%

บริษัทถือเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดบ้านหรูของไทย ซึ่งตั้งเป้าภายใน 5 ปีหลังจากนี้จะต้องรักษาอันดับ 1 ใน 5 ของผู้นำตลาดบ้านหรู ซึ่งปีนี้บริษัทจะยังคงเน้นที่บ้านหรูเช่นเดิม โดยเฉพาะราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เพราะจากสถิติการขายพบว่า บ้านระดับดังกล่าวมีอัตราการขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปจะเติบโตมากกว่าบ้านในระดับราคาอื่นๆ

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกจะเปิด 2 โครงการหรู เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดบ้านหรู คือ 1. โครงการ กรานาดา ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 36 ไร่ ขนาด 170 ตารางวา- 1 ไร่ ราคา 50-140ล้านบาท จำนวน 36 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 2,150 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดให้เยี่ยมชมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมนี้ เป็นต้นไป

2. โครงการ Saladaeng One’ ซึ่งเป็นคอนโดฯ ซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่มีราคาสูงสุดตั้งแต่บริษัทฯ พัฒนาโครงการมา ตั้งอยู่บนทำเลศาลาแดงซอย 1 ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 1 ไร่เศษ ขนาด 1-3  ห้องนอน และเพนต์เฮาส์ พื้นที่เริ่มตั้งแต่ 50-450 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยมากกว่า 280,000 บาท/ตารางเมตร หรือเริ่มต้นที่  13-200  ล้านบาท จำนวน 185 ยูนิต และ 2 พูลวิลล่า สูง 3 ชั้น ขนาด 200 ตารางเมตร รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 3,700 ล้านบาท โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ ได้ในเดือนพฤษภาคม 2558 นี้

นายณัฐพงศ์ กล่าวเสริมว่า นอกจากการทำตลาดบ้านหรูแล้ว ปีนี้บริษัทจะเพิ่มการลงทุนกลุ่มบ้านราคา 3-5 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ใหม่ “PAVE” เพื่อต้องการขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น โดยภายใน 5 ปี บ้านในกลุ่มดังกล่าวจะมีสัดส่วนประมาณ 10-15% ของพอร์ต แม้ว่าปัจจุบันการแข่งขันบ้านในระดับราคาดังกล่าว จะมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่มั่นใจว่าด้วยจุดแข็งของโครงการเป็นบ้านระดับพรีเมียมประหยัดพลังงาน ที่ก่อสร้างด้วยระบบพรีแคสจะสามารถสู้กับคู่แข่งขันได้ โดยโครงการแรก ของบ้านเดี่ยวแบรนด์ “PAVE” ตั้งอยู่ที่รังสิต คลอง 4 บนพื้นที่ 80 ไร่ เป็นบ้านสร้างก่อนขาย ขนาด 50-60 ตารางวา ราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 320 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทยังได้ตั้งงบซื้อที่ดินไว้จำนวน 5,200 ล้านบาท รองรับการพัฒนาโครงการในปี 2560 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ที่ใช้งบซื้อที่ดินไป 4,800 ล้าน โดยในเร็วๆ นี้ คาดว่าจะสามารถสรุปการซื้อขายที่ดินได้ 2 แปลงในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งงบสำหรับใช้ในการก่อสร้างโครงการในปีจำนวน 7,800 ล้านบาท

นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ภายในระยะเวลา 5 ปี ถึงปี 2562 บริษัทจะมีรายได้ที่ 20,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตอย่างน้อยปีละ 10% จากปัจจุบันที่มีรายได้ 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้เพื่อการเช่า สัดส่วน 3% และรายได้จากการขาย สัดส่วน 95-97% (แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 60-65% และจากโครงการแนวสูง 35-40%) และตั้งเป้ามีกำไรสุทธิ 15% ต่อปี จากปีที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 12%  

บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า (2562) บริษัทจะมีรายได้ 20,000 ล้านบาท ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ข้อ คือ 1. ยุทธศาสตร์เชิงรุกในการลงทุน เพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีจากการพัฒนา อสังหาฯ โดยการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดบ้านเดี่ยวในระดับพรีเมียม และพร้อมที่จะรุกเข้าไปยังตลาด เซกเมนต์ระดับราคาใหม่ๆ ที่บริษัทยังไม่เคยเข้าไป 2. ยุทธศาสตร์เชิงรับ ‘รีดไขมัน ไม่ลดคุณภาพ’ ด้วยการบริหารต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ 3. การรักษาคุณภาพระดับพรีเมียม ทั้งสินค้าและบริการ ควบคู่ไปกับการเติบโตของบริษัทฯ 4. การมุ่งเน้นพัฒนาบุคลากร และสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการสร้างสรรค์และใส่ใจ และ 5. คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการต่อเนื่องที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด จำนวน 32 โครงการ มูลค่าโครงการคงเหลือ 22,930 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 24 โครงการ และโครงการแนวสูง 8 โครงการ พร้อมกับยอดขายรอโอน (Backlog) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 ประมาณ 8,800 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 44% ส่วนโครงการอาคารสำนักงานแห่งใหม่ “ชินวัตร4” ย่านถนนพหลโยธิน (สถานีบีทีเอส อารีย์) ขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2559 และพร้อมเปิดให้จองพื้นที่ได้ในต้นปี 2560

สำหรับแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คาดว่าจะมีการเติบโตได้ 5-10% โดยเซกเมนต์ที่โตจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมในระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป  โดยตลาดในกรุงเทพฯจะมีกำลังซื้อที่ฟื้นตัวขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งการลงทุนของภาครัฐในการลงทุนรถไฟฟ้าทำให้ตลาดในกรุงเทพฯ มีความน่าสนใจมากขึ้น แต่ในตลาดต่างจังหวัดคาดว่ากำลังซื้อยังใช้เวลาในการฟื้นตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งในช่วง 2-3 ปี จากนี้บริษัทยังไม่มีแผนไปลงทุนในต่างจังหวัดยกเว้นหัวเมืองท่องเที่ยว หัวหิน พัทยา ที่เคยไปลงทุนมาก่อนหน้านี้แล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น