บอสใหญ่ “ชาญอิสสระ” ประเมินทิศทางตลาดอสังหาฯ ในปี 58 ยังคงต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง เหตุเศรษฐกิจโลก และในไทยยังไม่เอื้ออำนวย ชี้จีดีพีไทยปีนี้เติบโตน้อย หนี้ครัวเรือนสูง การลงทุนภาครัฐยังไม่คล่องตัว เผยแผนลงทุนปีนี้ มูลค่า 6,000 ล้านบาท เปิดคอนโดฯ ภายใต้แบรนด์ “อิซซี่” โปรเจกต์ 2 คอนโดฯ ที่ชะอำ พร้อมตั้งบริษัทใหม่รุกตลาดบริหารโรงแรมระดับประเทศ ดันแบรนด์ “บาบา” เปิดตลาด เล็งในไทย 3-4 โรงแรม และในจีน 2-3 แห่งผ่านพันธมิตรร่วมทุนจากจีน เล็งนำโรงแรมศรีพันวา เฟส 2 เข้ากอง REIT มูลค่าพันล้าน และเตรียมปี 59 อีกกอง REIT ประเมินรายได้ปีนี้เติบโต 10%
นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI กล่าวถึงปัจจัยที่จะผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 ว่า ยังเป็นปีที่ต้องระมัดระวังในเรื่องของการลงทุน เพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่ดีขึ้น ขณะที่ประเทศไทยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจก็ยังไม่ดีขึ้นเช่นกัน โตประมาณ 3.5-4% สภาพคล่องของเงินในตลาดยังน้อย และภาระหนี้สินครัวเรือนที่สูง โดยภาครัฐต้องเร่งลงทุนโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคซึ่งเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้แล้วว่ามีความจำเป็น ขณะเดียวกัน งบประมาณต่างๆ ในของส่วนราชการจะต้องมีการขับเคลื่อนมากกว่านี้
โดยแผนการลงทุนของบริษัทในปีนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการ คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดมิเนียมที่กรุงเทพฯ ภายใต้แบรนด์ “อิซซี่” และชะอำ 2 โครงการ รวมไปถึงการพัฒนาศรีพันวา ภูเก็ต เฟส 2 และการร่วมทุนพัฒนาโครงการบาบา บีช คลับ ที่จังหวัดพังงา กับบริษัทจุนฟา เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ในมณฑลยูนนาน และติดอันดับ 18 จาก Top 20 ในจีน มีการก่อสร้าง 60 อาคารต่อปี ด้วยการก่อตั้งบริษัท อิสสระจุนฟา จำกัด ขึ้นมาพัฒนาโครงการดังกล่าวด้วยทุนจดทะเบียน 420 ล้านบาท โดยกลุ่ม CI ถือหุ้น 70% และกลุ่มจุนฟา 30%
“การร่วมทุนกับกลุ่มทุนจีนนั้นถือเป็นการต่อยอดธุรกิจของบริษัท เพื่อดึงฐานลูกค้าระดับไฮเอนด์เข้าลงทุนซื้ออสังหาฯ ในเมืองไทย เนื่องจากที่ผ่านมา นักลงทุน และนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาทดแทนกลุ่มนักลงทุน และนักท่องเที่ยวจากยุโรปมากขึ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจในยุโรป”
นอกจากนี้ ทางชาญอิสสระยังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างบริษัทฯ ด้วยการจะก่อตั้งบริษัทรับบริหารโรงแรมเพิ่มอีก 1 ธุรกิจ เพื่อบริหารโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ โดยตามเป้าหมายแรกภายใน 2 ปีจะนำแบรนด์ “บาบา” เข้าไปรุกตลาด โดยคาดว่าจะมีโรงแรมที่จะเข้าไปบริหารประมาณ 3-4 โรงแรม ได้แก่ โรงแรมที่ชะอำ พังงาน และป่าตอง และใน 5 ปี น่าจะมีโรงแรมในจีนประมาณ 2-3 แห่งที่เข้าไปบริหารได้
“จีนจะเป็นประเทศแรกที่เราให้ความสำคัญ และเข้าไปลงทุน เนื่องจากมีประชากรที่มาก ประกอบกับมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มจุนฟา ซึ่งจะเอื้อธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยจะเป็นการนำแบรนด์ “บาบา” ออกไปทำตลาด เพราะสามารถแข่งขันในระดับ World Class ได้ง่าย”
นายสงกรานต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของแผนทางการเงิน บริษัทฯ มีแผนที่นะนำโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต เฟส 2 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้างที่จะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2558 นี้ ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มูลค่า 1,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาโครงการต่างๆ ในปีนี้ โดยจะพยายามขายให้ทันภายในไตรมาส 4/2558 นี้ ขณะเดียวกัน ทางโครงการศรีพันวา ยังมีที่ดินรองรับการพัฒนาได้อีกประมาณ 30 หลัง โดยจะพัฒนาเป็นซูเปอร์วิลลา ขนาดพื้นที่ 500 ตารางเมตร (ตร.ม.) มีมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท และมีแผนจะผลักดันเข้ากอง REIT ภายในปี 2559 ซึ่งจะสามารถรองรับการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ก็มีความสนใจที่จะลงทุนอสังหาฯ ระดับไฮเอนด์ ในประเทศพม่า ซึ่งมองว่ามีศักยภาพในการลงทุน เพราะที่ผ่านมา มีคนไทยและชาวต่างชาติทั้งยุโรป และอเมริกันระดับไฮเอนด์เข้าไปลงทุนทำธุรกิจเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากกฎหมายเรื่องการให้ชาวต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศดังกล่าวยังไม่ชัดเจน ดังนั้น ในช่วงแรกจึงมีแผนเข้าไปลงทุนในรูปแบบร้านอาหารก่อนด้วยการตั้งบริษัทในเครือขึ้นมา และนำร้านอาหารญี่ปุ่นแบรนด์ “ฮิดะ ยากินิคุเตน” ที่ร่วมกับบริษัทในเครือฮอนโมโน กรุ๊ป จำกัด บริหารงานโดยเชฟบรรฑูร ชูผลา เชฟชื่อดังอาหารญี่ปุ่นตัวจริง และเชฟบุญธรรม ภาคโพธิ์ เชฟกระทะเหล็กอาหารญี่ปุ่นแห่งประเทศไทย และเปิดสาขาแรกที่ชั้น 1 อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ไปเมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อปูทางเข้าชิมลางก่อนที่จะมีการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในอนาคต โดยจะเริ่มไปที่นครย่างกุ้งก่อนเป็นลำดับแรก คาดว่าจะเข้าไปเปิดให้บริการได้ในปลายปี 2558 นี้
“ที่ผ่านมา ได้มีการคุยกับนักธุรกิจอสังหาฯ ในพม่าหลายราย แต่ติดปัญหาเรื่องกฎหมายที่ยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้น เราจึงนำร้านอาหารเข้าไปบุกเบิกการทำตลาดไว้ก่อน เพื่อให้มีข้อมูลรองรับการทำธุรกิจในอนาคต”
ปัจจุบัน บริษัทฯ มียอดขายรอบันทึกเป็นรายได้ (แบ็กล็อก) จำนวน 3,800 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้ได้ในปีนี้ 10% และที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ปี 2559 จากรายได้ปีนี้ที่จะมีอัตราการเติบโต 5-10% จากปี 2557 ที่รับรู้รายได้ 1,700 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 10-15% จากปี 2557 ที่มียอดขายกว่า 2,000 ล้านบาท