ผอ.ฝ่ายการตลาด GCAP ตั้งเป้ารายได้เพิ่ม 20-25% ชูกลยุทธ์เทรดทองออนไลน์ช่วยเพิ่มยอด ปรับสัดส่วนลูกค้ารายย่อยเป็น 50% และลูกค้ารายใหญ่เป็น 80% ดันมาร์เกตแชร์ตลาดค้าทอง
น.ส.ณัฐฏ์จงกล ปิ่นทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท จีแคป จำกัด กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจค้าทองคำแท่งเติบโตขึ้นในปี 2558 นี้ไม่น้อยกว่า 20-25% จากปีที่แล้ว โดยจะมุ่งเน้นการทำตลาดลูกค้าลูกค้ารายย่อยบุคคลทั่วไป จากเดิมซึ่งมีอยู่ประมาณ 3,000 ราย ปรับเพิ่มเป็น 5,000 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วนจาก 70% ในปีที่แล้วเป็น 80% ในปีนี้ และลูกค้ารายใหญ่กลุ่มร้านค้าทอง จาก 1,200 ร้านค้า เพิ่มเป็น 2,000 ร้านค้าทั่วประเทศ หรือ 50% เทียบกับสัดส่วนในปีที่แล้ว
“ตลาดทองคำในปีที่ผ่านมามีมูลค่าสูงถึง 1.77 ล้านล้านบาท ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากยอดการขายทองคำที่ 2 แสนล้านบาทเทียบกับปี 2556 ที่มีมูลค่าการส่งออกทองคำกว่า 56,000 ล้านบาท ซึ่งมีลูกค้าส่วนใหญ่ได้แก่ ออสเตรเลีย อเมริกา และกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป”
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะเปิดให้บริการซื้อขายทองคำออนไลน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะให้บริการทั้งในรูปแบบคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ รองรับระบบปฏิบัติการทั้ง iOS และ Android แบบตลอดช่วงเวลาตั้งแต่ 08.00-24.00 น.โดยนักลงทุนเริ่มต้นสามารถเปิดการซื้อขายขั้นต่ำที่ 5 บาททองคำ ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการซื้อ-ขายออนไลน์ได้หลังจากเทศกาลตรุษจีนนี้ ส่วนระบบโมบายยังอยู่ในช่วงทดสอบ คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงประมาณเดือนเมษายน
“การเทรดออนไลน์จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน เพราะสามารถกำหนดราคาซื้อขายที่เหมาะสมตามความต้องการผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งรองรับการซื้อขายทองคำบริสุทธิ 96.5% และทองคำความบริสุทธิ์สูง 99.9% โดยจะมีการแจ้งเตือนดัชนีราคาทองคำที่ปรับเปลี่ยนให้ทราบได้ทันที”
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าการเปิดให้บริการซื้อขายทองคำออนไลน์ จะสามารถช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจค้าทองคำเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่จาก 30% ในปีก่อนหน้า เป็น 40% และจากการเพิ่มยอดผู้ซื้อรายย่อย และรายใหญ่ โดยปัจจุบันบริษัทฯมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับ 4 จากรองจาก YLG, แม่ทองสุข และฮั่วเซ่งเฮง
น.ส.ณัฐฏ์จงกล กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มทิศทางราคาทองคำในไตรมาสที่ 1 จะยังคงเป็นช่วงที่ทองคำปรับตัวลดลงจากปัจจัยหลักในต่างประเทศ 3 ประการ ได้แก่ 1.ประเทศกรีซ ไม่ยอมรับการช่วยเหลือทางการเงิน และมีท่าทีในการแสดงออกถึงการที่จะแยกตัวออกจากกลุ่มประเทศยุโรป หรือยูโรโซน 2.แนวโน้มที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อราคาทองคำที่ปรับตังลดลงมากยิ่งขึ้น และประการที่ 3. การประเมินอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และตัวเลข GDP ภายในประเทศ และประเทศที่เป็นมหาอำนาจอื่นๆ ทั่วโลกที่มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อดัชนีราคาทองคำ
“ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงถือเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาทองคำผันผวน โดยมองจากดัชนีประเมินราคาทองคำหน้าเหมือง ซึ่งจุดที่ต่ำที่สุดในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดจะอยู่ที่ 800 เหรียญ/ทรอยออนซ์ ซึ่งถ้าหากมีแนวโน้มว่าราคาจะลดลงต่ำกว่านี้ เหมืองทองคำก็จะปิดเหมืองหยุดพักการผลิต เพื่อให้เกิดความสมดุลในตลาดทองคำกลับคืนมา อย่างไรก็ดี บริษัทมองว่าแนวโน้มดัชนีราคาทองคำในขณะนี้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หากราคาทองคำผ่าน 1,350 เหรียญ/ทรอยออนซ์ไปได้แล้ว จะสะท้อนการฟื้นตัวอย่างแท้จริง ซึ่งหากเศรษฐกิจฟื้นตัว และเติบโตตามที่คาดไว้ ราคาทองคำในประเทศในช่วงปลายปีอาจปรับตัวสูงขึ้นถึง 27,000 บาท/บาททองคำ”
น.ส.ณัฐฏ์จงกล ปิ่นทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท จีแคป จำกัด กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจค้าทองคำแท่งเติบโตขึ้นในปี 2558 นี้ไม่น้อยกว่า 20-25% จากปีที่แล้ว โดยจะมุ่งเน้นการทำตลาดลูกค้าลูกค้ารายย่อยบุคคลทั่วไป จากเดิมซึ่งมีอยู่ประมาณ 3,000 ราย ปรับเพิ่มเป็น 5,000 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วนจาก 70% ในปีที่แล้วเป็น 80% ในปีนี้ และลูกค้ารายใหญ่กลุ่มร้านค้าทอง จาก 1,200 ร้านค้า เพิ่มเป็น 2,000 ร้านค้าทั่วประเทศ หรือ 50% เทียบกับสัดส่วนในปีที่แล้ว
“ตลาดทองคำในปีที่ผ่านมามีมูลค่าสูงถึง 1.77 ล้านล้านบาท ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากยอดการขายทองคำที่ 2 แสนล้านบาทเทียบกับปี 2556 ที่มีมูลค่าการส่งออกทองคำกว่า 56,000 ล้านบาท ซึ่งมีลูกค้าส่วนใหญ่ได้แก่ ออสเตรเลีย อเมริกา และกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป”
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะเปิดให้บริการซื้อขายทองคำออนไลน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะให้บริการทั้งในรูปแบบคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ รองรับระบบปฏิบัติการทั้ง iOS และ Android แบบตลอดช่วงเวลาตั้งแต่ 08.00-24.00 น.โดยนักลงทุนเริ่มต้นสามารถเปิดการซื้อขายขั้นต่ำที่ 5 บาททองคำ ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการซื้อ-ขายออนไลน์ได้หลังจากเทศกาลตรุษจีนนี้ ส่วนระบบโมบายยังอยู่ในช่วงทดสอบ คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงประมาณเดือนเมษายน
“การเทรดออนไลน์จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน เพราะสามารถกำหนดราคาซื้อขายที่เหมาะสมตามความต้องการผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งรองรับการซื้อขายทองคำบริสุทธิ 96.5% และทองคำความบริสุทธิ์สูง 99.9% โดยจะมีการแจ้งเตือนดัชนีราคาทองคำที่ปรับเปลี่ยนให้ทราบได้ทันที”
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าการเปิดให้บริการซื้อขายทองคำออนไลน์ จะสามารถช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจค้าทองคำเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่จาก 30% ในปีก่อนหน้า เป็น 40% และจากการเพิ่มยอดผู้ซื้อรายย่อย และรายใหญ่ โดยปัจจุบันบริษัทฯมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับ 4 จากรองจาก YLG, แม่ทองสุข และฮั่วเซ่งเฮง
น.ส.ณัฐฏ์จงกล กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มทิศทางราคาทองคำในไตรมาสที่ 1 จะยังคงเป็นช่วงที่ทองคำปรับตัวลดลงจากปัจจัยหลักในต่างประเทศ 3 ประการ ได้แก่ 1.ประเทศกรีซ ไม่ยอมรับการช่วยเหลือทางการเงิน และมีท่าทีในการแสดงออกถึงการที่จะแยกตัวออกจากกลุ่มประเทศยุโรป หรือยูโรโซน 2.แนวโน้มที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อราคาทองคำที่ปรับตังลดลงมากยิ่งขึ้น และประการที่ 3. การประเมินอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และตัวเลข GDP ภายในประเทศ และประเทศที่เป็นมหาอำนาจอื่นๆ ทั่วโลกที่มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อดัชนีราคาทองคำ
“ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงถือเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาทองคำผันผวน โดยมองจากดัชนีประเมินราคาทองคำหน้าเหมือง ซึ่งจุดที่ต่ำที่สุดในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดจะอยู่ที่ 800 เหรียญ/ทรอยออนซ์ ซึ่งถ้าหากมีแนวโน้มว่าราคาจะลดลงต่ำกว่านี้ เหมืองทองคำก็จะปิดเหมืองหยุดพักการผลิต เพื่อให้เกิดความสมดุลในตลาดทองคำกลับคืนมา อย่างไรก็ดี บริษัทมองว่าแนวโน้มดัชนีราคาทองคำในขณะนี้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หากราคาทองคำผ่าน 1,350 เหรียญ/ทรอยออนซ์ไปได้แล้ว จะสะท้อนการฟื้นตัวอย่างแท้จริง ซึ่งหากเศรษฐกิจฟื้นตัว และเติบโตตามที่คาดไว้ ราคาทองคำในประเทศในช่วงปลายปีอาจปรับตัวสูงขึ้นถึง 27,000 บาท/บาททองคำ”