บล.เอเชีย เวลท์ เตรียมพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 2560 หวังเป็น Innovative Broker บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในภูมิภาค พร้อมชิง Market Share 3.5% เป็น Top 10 broker ด้านธุรกิจ Wealth Management ตั้งเป้ามีสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำ และบริหารไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาท มุ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ
ดร.พิชิต อัคราทิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ปีนี้ บริษัทฯ มุ่งที่จะเป็น Top 10 Broker ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3.5% ต่อปี ด้านธุรกิจ Wealth Management มีเป้าที่จะมีสินทรัพย์ที่ดูแล และบริหารไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนรวม 25% กองทุนส่วนบุคคล 10% หุ้น 45% ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ 20% และมีแผนที่จะเป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุนเพิ่มอีก 2 บลจ. เพื่อสนองตอบความต้องการลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งหา Partner ทางธุรกิจ เพื่อเป็นหนึ่งในสินทรัพย์เพื่อสร้าง Wealth ให้แก่ลูกค้า เช่น บริษัทประกัน ด้านธุรกิจวานิชธนกิจ หรือ Investment Banking ในปีนี้ ตั้งเป้าที่จะเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอย่างต่ำ 10 โครงการ เพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นที่ปรึกษาเพื่อเข้าซื้อกิจการ
ด้านกลยุทธ์การตลาด บริษัทฯ เน้น 2 กลยุทธ์เด่น กลยุทธ์แรก การขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้ารายย่อยผ่านการขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา จากเดิม 10 สาขา รวมเป็น 15 สาขา ขยายฐานลูกค้าสถาบันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินขององค์กรภาครัฐ และกลยุทธ์ที่ 2 มุ่งเป็น Innovative broker ที่สรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้าง Wealth ให้แก่ลูกค้า ทั้งในด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ (Innovative trading) ด้านการลงทุนและผลิตภัณฑ์ (Innovative investment & product) และด้านบริการงานวิจัย (Innovative research)
“ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะทำ Asia Wealth App ที่จะเป็น Trading application ที่สามารถใช้ได้ทั้งระบบ PC และ Smartphone ลูกค้าจะสามารถซื้อขายหุ้น และกองทุนได้ทุกที่ โดยมีเป้าหมายให้ลูกค้าสามารถซื้อขายทำกำไรได้ “ง่าย เร็ว สะดวก เสถียร” รวมทั้งลูกค้าสามารถดูพอร์ตการลงทุน และผลตอบแทนรวมได้ พร้อมทั้งมี Option เสริมในส่วนของบทวิเคราะห์หุ้น และกองทุน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลงทุนอีกด้วย” ดร.พิชิต กล่าว
ดร.พิชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านการลงทุน และผลิตภัณฑ์ ทาง Wealth Management มีแผนที่จะเตรียมนวัตกรรมการการลงทุนใหม่สำหรับลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล (Private fund) โดยจะเริ่มเปิดตลาดการลงทุนตรงในต่างประเทศ เช่น ในหุ้นปันผลสูงของเอเชีย, แผนที่จะลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆ เช่น อนุพันธ์ เพื่อเร่งสปีดความมั่งคั่ง, ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมต่อสภาวะตลาด โดยมุ่งเน้นการรักษาเงินต้นของลูกค้า และสร้างแพกเกจความมั่งคั่ง เพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงิน เช่น โครงการ “มี 50 ล้าน ก่อน 50”
“จากเป้าหมายของหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ ที่มุ่งเป็น Innovative Broker บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในภูมิภาคที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่เพื่อสร้าง Wealth ให้แก่ลูกค้า เราจึงมีแผนที่จะเตรียมพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2560 เพื่อระดมทุนเพิ่มเติมจากนักลงทุนทั่วไปให้มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของ และสร้าง Wealth ของท่านไปด้วยกัน” ดร.พิชิต กล่าว
ดร.พิชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีแรกของการดำเนินธุรกิจในปี 2557 เป็นเรื่องของการวางโครงสร้างพื้นฐานของบริษัท ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างน่าพอใจ กล่าวคือ หลังจากสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มที่ช่วงที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวในครึ่งปีหลังปี 2557 บริษัทฯ สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 ได้ที่ประมาณ 3% อยู่ในอันดับ 16 ของอุตสาหกรรม และขยายสาขาทั้งหมด 10 สาขา ด้านธุรกิจ Wealth Management บริษัทฯ มีสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำและบริหาร (Asset Under Advisement and Management) รวม 20,286 ล้านบาท แบ่งเป็นพอร์ตกองทุนรวม 19% กองทุนส่วนบุคคล 4% หุ้น 66% ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ 11% โดยเราเป็นตัวแทนขายกองทุนรวมให้แก่ 16 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)
ดร.ศุภกร สุนทรกิจ กรรมการบริหาร สายงานบริหารความมั่งคั่ง กล่าวว่า ด้านมุมมองเศรษฐกิจโลก คาดว่าในปีนี้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากระดับ 2.4% ในปี 2557 เป็น 2.8% ในปีนี้ นำโดยเอเชีย และสหรัฐฯ ในขณะที่ยุโรป และญี่ปุ่นยังฟื้นตัวได้ในระดับต่ำ ประมาณ 1% แต่มีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน ด้านราคาน้ำมันมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ และมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นช่วงกลางปี ในขณะที่การยกเลิกการผูกติดกับค่าเงินยูโรของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อการลงทุน โดยเฉพาะกับราคาทองคำที่เดิมอยู่ในระดับต่ำกว่า 1,200 USD/ออนซ์ อาจปรับตัวให้ไปเหนือกว่าที่ 1,300 USD/ออนซ์ ได้
ทั้งนี้ ด้วยสภาพคล่องที่ล้นตลาด และอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำมาก บริษัทฯ จึงแนะนำให้ Overweight การลงทุนในหุ้นของกลุ่มประเทศในเอเชีย ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่น และหุ้นในสหรัฐฯ ด้านกองทุนรวม แนะนำให้ Overweight ในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่โครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังแนะนำให้นักลงทุนจับจังหวะการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการปรับตัวของราคาลงมาค่อนข้างมาก เช่น น้ำมัน รวมถึงกองทุนน้ำมัน และทองคำ รวมถึงกองทุนทองคำ โดยตั้งเป้าผลตอบแทนในการลงทุน และขายออกทำกำไรเมื่อได้รับผลตอบแทนตามเป้าเพื่อล็อกผลกำไร และลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย ให้มุมมองการลงทุนในปีนี้ว่า เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยตั้งเป้าดัชนีปี 2558 ที่ 1,770 จุด จากการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับ +4.5% และกำไรบริษัทจดทะเบียนฯโต +15.0% ในปี 2558 โดยมองว่า การลงทุนภาครัฐ และเอกชนจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำเป็นปัจจัยบวกอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเงินทุนจากต่างประเทศยังคงไหลเข้าไทย แต่จะสลับกับการขายทำกำไร และกลับไปถือดอลลาร์ กลับไปกลับมาเมื่อ Valuation ของตลาดใดตลาดหนึ่งเริ่มแพง สำหรับหุ้นกลุ่มที่นำตลาด ได้แก่ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ธนาคาร สื่อสาร อาหาร โรงแรม พาณิชย์ และขนส่ง
โดยในส่วนของหุ้นแนะนำบริษัทฯ แนะนำให้ Overweight หุ้นในกลุ่มธนาคาร จาก Valuation ไม่แพง กำไรโตตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวทันที แนะนำ KBANK, BBL, KTB และ TMB วัสดุก่อสร้าง ได้ประโยชน์เต็มๆ จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ค้าปลีกค้าส่งได้ประโยชน์ตรงจากการฟื้นตัวของการบริโภค แนะนำ GLOBAL อาหาร หมวดการบริโภคที่จำเป็นมีการเจริญเติบโตของกำไรเป็นปกติดีมาตลอด สื่อสาร การประมูล 4G ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เป็นผลบวกในระยะยาว แนะนำ INTUCH, THCOM, SIM และกลุ่มรับเหมา แม้จะไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานผู้รับเหมาหลักก็มีงานเต็มมืออยู่แล้ว โครงการภาครัฐใหม่จะทำให้มีงานในมือไปอีก 8 ปี เต็ม แนะนำ STPI และ PYLON ที่เหลือเก็งกำไรได้ตามข่าวการประมูลโครงการ
ดร.พิชิต อัคราทิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ปีนี้ บริษัทฯ มุ่งที่จะเป็น Top 10 Broker ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3.5% ต่อปี ด้านธุรกิจ Wealth Management มีเป้าที่จะมีสินทรัพย์ที่ดูแล และบริหารไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนรวม 25% กองทุนส่วนบุคคล 10% หุ้น 45% ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ 20% และมีแผนที่จะเป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุนเพิ่มอีก 2 บลจ. เพื่อสนองตอบความต้องการลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งหา Partner ทางธุรกิจ เพื่อเป็นหนึ่งในสินทรัพย์เพื่อสร้าง Wealth ให้แก่ลูกค้า เช่น บริษัทประกัน ด้านธุรกิจวานิชธนกิจ หรือ Investment Banking ในปีนี้ ตั้งเป้าที่จะเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอย่างต่ำ 10 โครงการ เพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นที่ปรึกษาเพื่อเข้าซื้อกิจการ
ด้านกลยุทธ์การตลาด บริษัทฯ เน้น 2 กลยุทธ์เด่น กลยุทธ์แรก การขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้ารายย่อยผ่านการขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา จากเดิม 10 สาขา รวมเป็น 15 สาขา ขยายฐานลูกค้าสถาบันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินขององค์กรภาครัฐ และกลยุทธ์ที่ 2 มุ่งเป็น Innovative broker ที่สรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้าง Wealth ให้แก่ลูกค้า ทั้งในด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ (Innovative trading) ด้านการลงทุนและผลิตภัณฑ์ (Innovative investment & product) และด้านบริการงานวิจัย (Innovative research)
“ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะทำ Asia Wealth App ที่จะเป็น Trading application ที่สามารถใช้ได้ทั้งระบบ PC และ Smartphone ลูกค้าจะสามารถซื้อขายหุ้น และกองทุนได้ทุกที่ โดยมีเป้าหมายให้ลูกค้าสามารถซื้อขายทำกำไรได้ “ง่าย เร็ว สะดวก เสถียร” รวมทั้งลูกค้าสามารถดูพอร์ตการลงทุน และผลตอบแทนรวมได้ พร้อมทั้งมี Option เสริมในส่วนของบทวิเคราะห์หุ้น และกองทุน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลงทุนอีกด้วย” ดร.พิชิต กล่าว
ดร.พิชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านการลงทุน และผลิตภัณฑ์ ทาง Wealth Management มีแผนที่จะเตรียมนวัตกรรมการการลงทุนใหม่สำหรับลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล (Private fund) โดยจะเริ่มเปิดตลาดการลงทุนตรงในต่างประเทศ เช่น ในหุ้นปันผลสูงของเอเชีย, แผนที่จะลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆ เช่น อนุพันธ์ เพื่อเร่งสปีดความมั่งคั่ง, ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมต่อสภาวะตลาด โดยมุ่งเน้นการรักษาเงินต้นของลูกค้า และสร้างแพกเกจความมั่งคั่ง เพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงิน เช่น โครงการ “มี 50 ล้าน ก่อน 50”
“จากเป้าหมายของหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ ที่มุ่งเป็น Innovative Broker บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำในภูมิภาคที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่เพื่อสร้าง Wealth ให้แก่ลูกค้า เราจึงมีแผนที่จะเตรียมพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2560 เพื่อระดมทุนเพิ่มเติมจากนักลงทุนทั่วไปให้มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของ และสร้าง Wealth ของท่านไปด้วยกัน” ดร.พิชิต กล่าว
ดร.พิชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีแรกของการดำเนินธุรกิจในปี 2557 เป็นเรื่องของการวางโครงสร้างพื้นฐานของบริษัท ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างน่าพอใจ กล่าวคือ หลังจากสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มที่ช่วงที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวในครึ่งปีหลังปี 2557 บริษัทฯ สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 ได้ที่ประมาณ 3% อยู่ในอันดับ 16 ของอุตสาหกรรม และขยายสาขาทั้งหมด 10 สาขา ด้านธุรกิจ Wealth Management บริษัทฯ มีสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำและบริหาร (Asset Under Advisement and Management) รวม 20,286 ล้านบาท แบ่งเป็นพอร์ตกองทุนรวม 19% กองทุนส่วนบุคคล 4% หุ้น 66% ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ 11% โดยเราเป็นตัวแทนขายกองทุนรวมให้แก่ 16 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)
ดร.ศุภกร สุนทรกิจ กรรมการบริหาร สายงานบริหารความมั่งคั่ง กล่าวว่า ด้านมุมมองเศรษฐกิจโลก คาดว่าในปีนี้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากระดับ 2.4% ในปี 2557 เป็น 2.8% ในปีนี้ นำโดยเอเชีย และสหรัฐฯ ในขณะที่ยุโรป และญี่ปุ่นยังฟื้นตัวได้ในระดับต่ำ ประมาณ 1% แต่มีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน ด้านราคาน้ำมันมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ และมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นช่วงกลางปี ในขณะที่การยกเลิกการผูกติดกับค่าเงินยูโรของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อการลงทุน โดยเฉพาะกับราคาทองคำที่เดิมอยู่ในระดับต่ำกว่า 1,200 USD/ออนซ์ อาจปรับตัวให้ไปเหนือกว่าที่ 1,300 USD/ออนซ์ ได้
ทั้งนี้ ด้วยสภาพคล่องที่ล้นตลาด และอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำมาก บริษัทฯ จึงแนะนำให้ Overweight การลงทุนในหุ้นของกลุ่มประเทศในเอเชีย ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่น และหุ้นในสหรัฐฯ ด้านกองทุนรวม แนะนำให้ Overweight ในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่โครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังแนะนำให้นักลงทุนจับจังหวะการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการปรับตัวของราคาลงมาค่อนข้างมาก เช่น น้ำมัน รวมถึงกองทุนน้ำมัน และทองคำ รวมถึงกองทุนทองคำ โดยตั้งเป้าผลตอบแทนในการลงทุน และขายออกทำกำไรเมื่อได้รับผลตอบแทนตามเป้าเพื่อล็อกผลกำไร และลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย ให้มุมมองการลงทุนในปีนี้ว่า เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยตั้งเป้าดัชนีปี 2558 ที่ 1,770 จุด จากการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับ +4.5% และกำไรบริษัทจดทะเบียนฯโต +15.0% ในปี 2558 โดยมองว่า การลงทุนภาครัฐ และเอกชนจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำเป็นปัจจัยบวกอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเงินทุนจากต่างประเทศยังคงไหลเข้าไทย แต่จะสลับกับการขายทำกำไร และกลับไปถือดอลลาร์ กลับไปกลับมาเมื่อ Valuation ของตลาดใดตลาดหนึ่งเริ่มแพง สำหรับหุ้นกลุ่มที่นำตลาด ได้แก่ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ธนาคาร สื่อสาร อาหาร โรงแรม พาณิชย์ และขนส่ง
โดยในส่วนของหุ้นแนะนำบริษัทฯ แนะนำให้ Overweight หุ้นในกลุ่มธนาคาร จาก Valuation ไม่แพง กำไรโตตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวทันที แนะนำ KBANK, BBL, KTB และ TMB วัสดุก่อสร้าง ได้ประโยชน์เต็มๆ จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ค้าปลีกค้าส่งได้ประโยชน์ตรงจากการฟื้นตัวของการบริโภค แนะนำ GLOBAL อาหาร หมวดการบริโภคที่จำเป็นมีการเจริญเติบโตของกำไรเป็นปกติดีมาตลอด สื่อสาร การประมูล 4G ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เป็นผลบวกในระยะยาว แนะนำ INTUCH, THCOM, SIM และกลุ่มรับเหมา แม้จะไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานผู้รับเหมาหลักก็มีงานเต็มมืออยู่แล้ว โครงการภาครัฐใหม่จะทำให้มีงานในมือไปอีก 8 ปี เต็ม แนะนำ STPI และ PYLON ที่เหลือเก็งกำไรได้ตามข่าวการประมูลโครงการ