xs
xsm
sm
md
lg

ชี้อนาคตโบรกฯ ไทยเน้นบริหารสินทรัพย์ทุกประเภท เพื่อความมั่งคั่งลูกค้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ซีอีโอ “บล.เอเชีย เวลท์” ชี้อนาคตโบรกเกอร์ของไทยจะพัฒนาในทิศทางคล้ายกับ ตปท. ซึ่งเน้นการบริหารสินทรัพย์ทุกประเภท ทั้งหุ้น กองทุน หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน ประกันชีวิต มรดก และที่ดิน เพื่อความมั่งคั่งของลูกค้า พร้อมมองเป้าดัชนีปี 58 ที่ระดับ 1,850 จุด แนะเก็บ 3 กลุ่มหุ้นใหญ่ รับผลบวก ศก.ฟื้นตัว

นายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย เวลท์ เปิดเผยว่า บริษัทมอง Business model ในอนาคตธุรกิจโบรกเกอร์ของไทยจะพัฒนาในทิศทางคล้ายกับต่างประเทศ ในลักษณะ Wealth Management คือ เน้นการบริหารสินทรัพย์ทุกประเภท ทั้งหุ้น กองทุนรวม หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน ประกันชีวิต ที่ดิน

ตลอดทั้งมรดก และสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อความมั่งคั่งของลูกค้า มากกว่าการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว เพื่อเป็นมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้า โดยมุ่งมั่นบริหารสินทรัพย์ลูกค้าให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นขณะที่ต้นทุนเท่าเดิม

ด้านผลการดำเนินงานของ บล.เอเชีย เวลท์ ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมา 1 ปี บริษัทฯ มีมาร์เกตแชร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ 3.12%* สูงกว่าที่บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าไว้ ที่ 2.5% เมื่อครั้งเปิดตัวธุรกิจหลักทรัพย์เมื่อปลายปี 2556

ส่วน Ranking ปัจจุบัน บล.เอเชีย เวลท์ มีมาร์เกตแชร์ อยู่ที่อันดับ 14* จากเกือบ 40 โบรกเกอร์ และมีจำนวนบัญชีลูกค้าหลักทรัพย์ และ TFEX อยู่ที่ประมาณ 4,000 บัญชี เป็นบัญชีที่ Active ประมาณ 2,000 บัญชี คิดเป็น 50% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด ทั้งนี้ คาดว่าในเวลาที่เหลือ 1 เดือน บริษัทฯ จะสามารถคงมาร์เกตแชร์สิ้นปี 57 ในระดับนี้ได้

สำหรับธุรกิจ Wealth management ปัจจุบันบริษัทมีบัญชีลูกค้า Wealth ประมาณ 300 บัญชี มีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) รวมทั้งในส่วนที่เป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และยอดการขายหุ้นกู้ และตั๋วแลกเงิน อยู่ที่ประมาณ 4,500 ล้านบาท

โดยปัจจุบัน บล.เอเชีย เวลท์ เป็นตัวแทนขายกองทุนรวมของ 15 บลจ. ครอบคลุมกองทุนทุกประเภท ทั้งกองทุนรวมตราสารหนี้, หุ้น, LTF/RMF, กองทุนต่างประเทศ (FIF), สินค้าโภคภัณฑ์ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ตลอดทั้งมีการให้บริการกองทุนส่วนบุคคล (Private fund)

ด้านภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ปีนี้ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นตุลาคม มีมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 42,874 ล้านบาท เทียบกับมกราคม-ตุลาคมปี 56 ที่ระดับ 53,788 ล้านบาท ลดลง 20% โดยมองว่าในปีหน้า 58 มูลค่าการซื้อขายน่าจะดีขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แนวโน้มการส่งออกที่ฟื้นตัวจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ การเพิ่มปริมาณ QE ในยุโรป และญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องเพื่อชดเชย QE สหรัฐฯ ที่ลดลง

ประกอบกับเม็ดเงินลงทุนจากโครงการลงทุนภาครัฐ 4.5 แสนล้านบาท ที่จะใช้ในปีหน้าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน และผลักดันให้กำไรบริษัทจดทะเบียนให้เติบโต ซึ่งหากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตจะผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเติบโตได้ดีในปีหน้า

ด้าน นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นปีนี้คาดว่าดัชนีจะไปปิดที่ระดับ 1,600 จุด จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มเห็นผล ประกอบกับผลประกอบการครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นกว่าในครึ่งปีแรกที่ +2.9% YOY

สำหรับปี 58 บล.เอเชีย เวลท์ ยังคาดการณ์ว่า ดัชนีจะไปปิดที่ระดับ 1,850 จุด โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ระดับ 5.1% และกำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตที่ระดับ 15.3% และเนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบสถาบันการเงินมีปริมาณมหาศาล ดังนั้น ในปีหน้าจะยังคงมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าไทยสลับกับการขายทำกำไร และกลับไปถือดอลลาร์สหรัฐ เป็นบางครั้ง

ด้านหุ้น แนะนำให้ Overweight ในหุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากการเลื่อนประมูล 4G ไป 1 ปี กลับทำให้กำไรกลุ่มสื่อสารดีขึ้น และการที่ลูกค้าเปลี่ยนมาใช้ระบบ 3G มากขึ้นทำให้รายได้เพิ่มขึ้น โดยแนะนำหุ้น INTUCH, THCOM, ADVANC และ SIM และ Overweight หุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ได้แก่ หุ้นกลุ่มรับเหมา แนะนำ STPI และ PYLON

ตลอดจนหุ้นกลุ่มขนส่ง แนะนำ AOT หุ้นกลุ่มธนาคารที่ Valuation ไม่แพง แนะนำ KBANK, BBL, KTB และ TMB นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ Overweight หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภค ได้แก่ หุ้นกลุ่มการเงิน แนะนำ KTC หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และหุ้นกลุ่มค้าปลีกค้าส่ง แนะนำ MC
กำลังโหลดความคิดเห็น