แสนสิริ ชี้อสังหาฯ ปี 58 โต จากปัจจัยนโยบายลงทุน เร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ราคาน้ำมันลด เผยเปิด 17-19 โครงการใหม่ มูลค่า 3.2 หมื่นล้าน ตั้งเป้ากวาดยอดขาย 3.2 หมื่นล้าน เป้ารายได้ 3.5 หมื่นล้าน มั่นใจแผนธุรกิจ “Engineer for Growth” ส่งผลกำไรสุทธิ 15% ภายใน 3 ปี
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 บริษัทเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจจะมีทิศทางที่ดีอย่างมากจากปัจจัยหนุนหลายประการ เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2558 ที่คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นกว่าปี 2557 โดยประมาณการของอัตราขยายตัว GDP อยู่ที่ร้อยละ 3.5-4.5 (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2557) ซึ่งได้ปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้การผลิตในภาคเอกชนฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับเข้ามาในประเทศได้อีกครั้ง รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก และในประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่องที่จะส่งผลให้ประชาชนมีอำนาจในการซื้อสินค้า และบริการที่สูงขึ้น ต้นทุนของผู้ประกอบการจะลดลง สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลที่ดีต่อเนื่องจากกำลังซื้อที่สูงขึ้นของอุปสงค์ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะสนับสนุนให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยขยายตัว
“อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปี 2558 ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน และนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก และการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังคงต้องจับตาเช่นเดียวกัน” นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2558 ได้วางแผนขยายการพัฒนาโครงการสำหรับรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติประมาณ 17-19 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,000 ล้านบาท โดยแบ่งประเภทการพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมประมาณ 9-10 โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ประมาณ 7-9 โครงการ ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมสำหรับปี 2558 ไว้ประมาณ 30,000-32,000 ล้านบาท รวมทั้งประมาณการเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 35,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกบริษัทได้เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการแรกภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท หลังจากที่ผ่านมา บริษัทได้จัดตั้งบริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง วัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SIRI และ BTS ในสัดส่วน 50 : 50 โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 100 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายการลงทุนในต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานลูกค้าของบริษัทให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเตรียมเปิดโครงการใหม่ในจังหวัดพิษณุโลก รวมทั้งบริษัทจะเดินหน้าตามแผนธุรกิจ Engineer for Growth อย่างต่อเนื่อง หลังจากแผนบางส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้วเริ่มเห็นผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว และชัดเจนจากอัตรากำไรในปีที่ผ่านมาที่เพิ่มสูงใกล้เคียงเป้าหมายที่ 12%
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า บริษัทยังได้เตรียมกลยุทธ์ที่จะรุกตลาดที่สามารถลดต้นทุนได้อย่างมาก ด้วยการรุกดิจิตอล มาร์เกตติ้ง หรือเน้นการใช้ Social Media ซึ่งสามารถเข้าถึง และดูแลกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม รวมถึงจุดเด่นของแสนสิริ นั่นคือ การบริการหลังการขายผ่านบริษัทลูก คือ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งในปีที่ผ่านมา ก็มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ
โดยปัจจุบัน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ให้บริการทางด้านอสังหาริมทรัพย์มากว่า 180 โครงการ รวมพื้นที่กว่า 6.9 ล้านตารางเมตร ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีซึ่งเมื่อรวมกับแผนการดำเนินธุรกิจที่เน้นศักยภาพการเติบโตของบริษัทอย่างมั่นคงภายใต้แนวทางการดำเนินธุรกิจ “Engineer for Growth” หรือ EFG เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจ และองค์กรในระยะยาวแล้ว จะส่งผลให้ในช่วง 3 ปีข้างหน้านับจากนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างอัตรากำไรสุทธิได้ประมาณ 15%