ธ.กสิกรฯ มองการลงทุน “รัฐ-เอกชน” ปีนี้น่าจะฟื้นตัว คาดมูลค่ารวมกว่า 1.27 ล้านล้านบาท ชี้ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องระดมเงินจากตลาดทุนเพิ่ม ขณะที่มีจำนวนธุรกิจมากกว่า 1 ใน 3 มีศักยภาพสูง ทำยอดขาย และกำไรเติบโตในช่วง 4 ปีที่ผ่านมากกว่าร้อยละ 20 สูงกว่าการเติบโตเฉลี่ยของประเทศถึง 5 เท่า
นายจงรัก รัตนเพียร รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้บริหารสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัท เปิดเผยว่า ปี 2558 ประเทศไทยน่าจะมีความชัดเจนเรื่องการลงทุนใหม่ทั้งภาครัฐ และเอกชนมากขึ้น โดยการลงทุนที่สำคัญจะเป็นโครงการลงทุนในประเทศของภาคเอกชน 250,000 ล้านบาท โครงการลงทุนสาธารณูปโภคของภาครัฐ 270,000 ล้านบาท และการลงทุนในต่างประเทศ 750,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ดังนั้น คาดว่าธุรกิจส่วนหนึ่งมีความจำเป็นจะต้องระดมเงินทุนผ่านทางตลาดทุน นอกเหนือจากการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตาม จำนวนกว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทยยังไม่เคยระดมเงินผ่านตลาดทุน แม้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ สามารถสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมหลักจะมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และเกษตรอุตสาหกรรม กลุ่มสื่อสารและยานยนต์ รวมทั้งกลุ่มธุรกิจบันเทิง
นายจงรัก กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารจะให้ความสำคัญการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินแก่ธุรกิจขนาดใหญ่อย่างครบวงจร ไม่ว่าแหล่งทุนทางเลือกใหม่ๆ ผ่านตลาดทุน การปรับโครงสร้างธุรกิจ และทุนเพื่อรองรับการเติบโตได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งการบริหารความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง และการตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที เพื่อบริหารจัดการและดำเนินธุรกิจได้อย่างไร้รอยต่อกับลูกค้า และคู่ค้าต่างๆ
ปัจจุบัน ลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งหมดที่มียอดขายเกินกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี มีประมาณร้อยละ 20 เท่านั้น ในจำนวนนี้มียอดขายมากกว่า 1,000-5,000 ล้านบาท ประมาณร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 มียอดขายมากกว่า 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ พบว่าธุรกิจขนาดใหญ่กว่า 1 ใน 3 มีศักยภาพสูง โดยสามารถทำทั้งยอดขาย และผลกำไรเติบโตในช่วง 4 ปีที่ผ่านมากกว่าร้อยละ 20 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตโดยเฉลี่ยของประเทศถึง 5 เท่า แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้ประกอบการในการทนต่อแรงเสียดทาน ท่ามกลางกระแสความผันผวนทางการเงิน การเมือง และเศรษฐกิจของตลาดโลก ที่ส่งผลถึงค่าเงิน อัตราดอกเบี้ย และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการเปลี่ยนแปลงได้ และเป็นความท้าทายในการผลักดันให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
นายจงรัก กล่าวถึงกลยุทธ์ที่ประสานรับกับนโยบายภาครัฐในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจเข้าสู่ดิจิตอลอีโคโนมี ว่า ธนาคารกสิกรไทย จะมุ่งการนำเสนอดิจิตอลแบงกิ้ง และกระแสการพัฒนากระบวนการให้บริการทุกรูปแบบไปในทางเดียวกัน โดยตั้งเป้าเป็นอันดับ 1 ด้านการเป็นธนาคารหลักในกลุ่มธุรกิจผู้ประกอบการขนาดใหญ่ พร้อมชูศักยภาพด้านการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ครอบคลุม 3 ยุทธศาสตร์หลัก คือ ด้านตลาดทุน ด้านธุรกรรมการเงิน และด้านธุรกิจตลาดเออีซี โดยได้เร่งเสริมทัพทีมงานเพื่อรองรับกระแสตลาดทุน โดยตั้งเป้ารายได้รวมปี 2558 โตกว่าร้อยละ 15 โดยมีการเติบโตของสัดส่วนค่าธรรมเนียมต่อรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 ทำให้สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมเมื่อรวมกับรายได้จากเงินฝากเมื่อเทียบกับยอดเฉลี่ยของมูลค่าสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.28 เป็นร้อยละ 2.67