บล.ทรีนีตี้ แนะชะลอการลงทุนในเดือนมกราคม เหตุดัชนีหุ้นครึ่งเดือนแรกมีความเสี่ยงขาลง หลังคาดกองทุน LTF และ RMF ขายทำกำไรไหลออกกว่า 1-2 หมื่นล้านบาท เผยปีนี้ปรับเพิ่มหุ้นแนะนำ The Big Picture เป็น 20 บริษัท ตอบสนองการลงทุนระยะยาว 3-6 เดือนขึ้นไป 15 บริษัท และลงทุนระยะสั้นรายเดือน 5 บริษัท โชว์ผลตอบแทนหุ้นแนะนำนับตั้งแต่การก่อตั้ง 54 เดือน พุ่งปรี๊ด 640%
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2558 เป็นต้นไป ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ทรีนีตี้ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการวิเคราะห์หุ้นแนะนำรายเดือนในบทวิเคราะห์ “The Big Picture” ใหม่ โดยจากเดิมที่มีหุ้นแนะนำ 10 บริษัทต่อเดือน จะเพิ่มขึ้นเป็น 20 บริษัท และจะแบ่งสัดส่วนการลงทุน 15 บริษัท สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว ที่มีระยะเวลาการถือครอง 3-6 เดือนขึ้นไป ส่วนอีก 5 บริษัทสำหรับการลงทุนระยะสั้นในแต่ละเดือนนั้นๆ และจะมีการหมุนเวียนเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งการปรับรูปแบบหุ้นแนะนำดังกล่าวเพื่อให้สอดรับต่อการลงทุนหลายหลากรูปแบบมากขึ้น
สำหรับอัตราผลตอบแทนของหุ้นแนะนำตามบทวิเคราะห์ “The Big Picture” นับตั้งแต่ก่อตั้งปี 2553 รวมเป็นเวลากว่า 54 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยให้ผลตอบแทนกว่า 640% และมีอัตราผลตอบแทนสิ้นปี 2557 กว่า 36%
ส่วนภาพรวมการลงทุนในเดือนมกราคมนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนอย่างมาก เนื่องจากมีความเสี่ยงขาลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งเดือนแรก ซึ่งคาดการณ์ SET Index ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกมีแนวโน้มถูกกดดันจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ได้แก่ แรงไถ่ถอนเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งมีกำไรแล้วกว่า 40-50% คาดว่าจะมีเม็ดเงินออกจากกองทุนดังกล่าวราว 1-2 หมื่นล้านบาท มาตรการควบคุมหุ้นร้อนที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคมจะเป็นปัจจัยจำกัด Performance ของหุ้นขนาดกลาง-เล็ก
ประกอบกับความเป็นไปได้ที่รัสเซียอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสู่ระดับ “ขยะ” จากสถาบันจัดอันดับ S&P ในช่วงกลางเดือน การจัดการเลือกตั้งใหม่ของกรีซ อาจนำมาซึ่งชัยชนะของพรรค Syriza และการยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดที่เคยดำเนินมา อันนำมาสู่ความเสี่ยงของฐานะการคลัง และการถูกตัดออกจากลุ่มยูโรโซนอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งเดือนหลัง SET Index มีโอกาสจะปรับตัวขึ้นได้จากปัจจัยกระตุ้นที่อาจเข้ามา ได้แก่ ความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจมีการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมในการประชุมวันที่ 22 มกราคม และ positive surprise ที่อาจเกิดขึ้นหากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดดอกเบี้ยในวันที่ 28 มกราคม
พร้อมกันนี้ แนะกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนให้ชะลอการลงทุนในช่วงครึ่งเดือนแรก โดยรอให้ปัจจัยกดดันทั้งภายใน และภายนอกผ่านพ้นไปก่อน และหาจังหวะสะสมหุ้นในช่วงกลางเดือนเพื่อรอลุ้นข่าวดีจากการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยหุ้นแนะนำสำหรับการลงทุนระยะยาว 15 บริษัท ได้แก่ SOLAR, BCP, IFEC, GEL, PYLON, SEAFCO, ITD, CK, STEC, BTS, BMCL, AAV, BA, THAI, CKP
ส่วนหุ้นแนะสำหรับการลงทุนประจำเดือนนี้ 5 บริษัท ได้แก่ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่า ได้แก่ KCE, CPF, TUF
กลุ่มสื่อสารที่ได้ประโยชน์จาก Digital economy ได้แก่ ADVANC และกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ได้แก่ TASCO
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2558 เป็นต้นไป ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ทรีนีตี้ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการวิเคราะห์หุ้นแนะนำรายเดือนในบทวิเคราะห์ “The Big Picture” ใหม่ โดยจากเดิมที่มีหุ้นแนะนำ 10 บริษัทต่อเดือน จะเพิ่มขึ้นเป็น 20 บริษัท และจะแบ่งสัดส่วนการลงทุน 15 บริษัท สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว ที่มีระยะเวลาการถือครอง 3-6 เดือนขึ้นไป ส่วนอีก 5 บริษัทสำหรับการลงทุนระยะสั้นในแต่ละเดือนนั้นๆ และจะมีการหมุนเวียนเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งการปรับรูปแบบหุ้นแนะนำดังกล่าวเพื่อให้สอดรับต่อการลงทุนหลายหลากรูปแบบมากขึ้น
สำหรับอัตราผลตอบแทนของหุ้นแนะนำตามบทวิเคราะห์ “The Big Picture” นับตั้งแต่ก่อตั้งปี 2553 รวมเป็นเวลากว่า 54 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยให้ผลตอบแทนกว่า 640% และมีอัตราผลตอบแทนสิ้นปี 2557 กว่า 36%
ส่วนภาพรวมการลงทุนในเดือนมกราคมนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนอย่างมาก เนื่องจากมีความเสี่ยงขาลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งเดือนแรก ซึ่งคาดการณ์ SET Index ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกมีแนวโน้มถูกกดดันจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ได้แก่ แรงไถ่ถอนเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งมีกำไรแล้วกว่า 40-50% คาดว่าจะมีเม็ดเงินออกจากกองทุนดังกล่าวราว 1-2 หมื่นล้านบาท มาตรการควบคุมหุ้นร้อนที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคมจะเป็นปัจจัยจำกัด Performance ของหุ้นขนาดกลาง-เล็ก
ประกอบกับความเป็นไปได้ที่รัสเซียอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสู่ระดับ “ขยะ” จากสถาบันจัดอันดับ S&P ในช่วงกลางเดือน การจัดการเลือกตั้งใหม่ของกรีซ อาจนำมาซึ่งชัยชนะของพรรค Syriza และการยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดที่เคยดำเนินมา อันนำมาสู่ความเสี่ยงของฐานะการคลัง และการถูกตัดออกจากลุ่มยูโรโซนอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งเดือนหลัง SET Index มีโอกาสจะปรับตัวขึ้นได้จากปัจจัยกระตุ้นที่อาจเข้ามา ได้แก่ ความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจมีการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมในการประชุมวันที่ 22 มกราคม และ positive surprise ที่อาจเกิดขึ้นหากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดดอกเบี้ยในวันที่ 28 มกราคม
พร้อมกันนี้ แนะกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนให้ชะลอการลงทุนในช่วงครึ่งเดือนแรก โดยรอให้ปัจจัยกดดันทั้งภายใน และภายนอกผ่านพ้นไปก่อน และหาจังหวะสะสมหุ้นในช่วงกลางเดือนเพื่อรอลุ้นข่าวดีจากการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยหุ้นแนะนำสำหรับการลงทุนระยะยาว 15 บริษัท ได้แก่ SOLAR, BCP, IFEC, GEL, PYLON, SEAFCO, ITD, CK, STEC, BTS, BMCL, AAV, BA, THAI, CKP
ส่วนหุ้นแนะสำหรับการลงทุนประจำเดือนนี้ 5 บริษัท ได้แก่ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่า ได้แก่ KCE, CPF, TUF
กลุ่มสื่อสารที่ได้ประโยชน์จาก Digital economy ได้แก่ ADVANC และกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ได้แก่ TASCO