ASTV ผู้จัดการรายวัน – แรงซื้อกลับหุ้นน้ำมันทั้งกลุ่มฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดีกลับได้กว่า 20 จุด แม้กนง.มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม ขณะเดียวกันมีทริกเกอร์ ฟันด์เกิดใหม่ 3 กอง คาดสัปดาห์หน้าอีก 2 รวม 5 กองวงเงิน 7 พันล้านบาท เมื่อรวมกับกองทุน LTF ที่ยังไม่ทำงานคาดยังได้เห็น 1600 จุด นักวิเคราห์เตือนวันนี้อาจผันผวน จับตาผลประชุมเฟด
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 17 ธันวาคม ปิดตลาดไปที่ 1,480.20 จุด เพิ่มขึ้น 18.46 จุด เปลี่ยนแปลง +1.26% มูลค่าการซื้อขาย 63,479.09 ล้านบาท โดยระหว่างเทรดแตะจุดสูงสุดที่ 1,487.48 จุด และต่ำสุดที่ 1,461.33 จุด โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 5,199.32 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,689.89 ล้านบาท ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,059.41 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 5,829.79 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มกลับมาสดใสดัชนีสามารถเปิดตลาดในแดนบวก และปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 14.36 น.ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,481.76 จุด เพิ่มขึ้น 20.02 จุด เปลี่ยนแปลง +1.37% แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กนง.มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% ต่อปี
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ ระบุสาเหตุหลังที่ ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถรีบาวด์ได้แรงในช่วงบ่าย เนื่องจากช่วง 2 วันที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลงแรงมากแล้ว โดยราคากลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะเครือ PTT กลับมาเป็นบวก นอกจากนี้ ช่วงท้ายปียังมีแรงซื้อจากกองทุนต่าง ๆ เข้ามา โดยเฉพาะกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ช่วยหนุนตลาด
ขณะเดียวกันมีรายงานว่าช่วงระหว่างวันที่ 18 – 22 ธันวาคม 57 จะมีบลจ.เปิดขายกองทริกเกอร์ฟันด์ทั้งสิ้น 5 กองวงเงินรวม 7,000 ล้านบาท เบื้องต้นมีบลจ.ธนชาต บลจ.ไทยพาณิชย์ และบลจ.ทิสโก้ที่เปิดขายแล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้าจะทยอยเปิดขายจนครบ
สอดคล้องกับนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรินีตี้ กล่าวว่า ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กนง. ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% ทำให้กระแสเงินทุนไหลออกชะลอลง นอกจากนี้ คาดหวังกองทุนทริกเกอร์ฟันด์อย่างน้อย 2 กองที่เข้ามาในช่วงปลายสัปดาห์หน้าช่วยพยุงตลาดไว้ได้ระยะหนึ่ง ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานวันนี้รีบาวด์ตอบรับราคาน้ำมันชะลอการไหลลงในระยะสั้น
พร้อมคาดการณ์แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(18 ธ.ค.) ว่า ตลาดฯยังมีโอกาสผันผวนในกรอบแนวรับ 1,450-1,460 จุด แนวต้าน 1,490-1,500 จุด จากปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FOMC ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการประชุมรอบใหญ่และจะมีการประกาศประมาณการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงการส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างชัดเจนเมื่อไหร่ โดยนักเศรษฐศาสตร์วิเคราห์ว่าหากเปลี่ยนไปจากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นในช่วงเดือน ส.ค.58 มาเป็นเดือน ก.ค.58 ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรทั่วโลก
"หากการประชุมออกมาว่าเฟดมีความเห็นออกมาว่าจะมีการเลื่อนเวลาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นจริง ก็จะส่งผลกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดพันธบัตร ทำให้มีแรงขายในระยะสั้นออกมา เรื่องนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้" นายณัฐชาต กล่าว
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หากมองปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยรวมถึงต่างประเทศที่ปรับตัวลดลงมาจากราคาน้ำมัน จนฉุดราคาหุ้นกลุ่มพลังงานที่เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ให้ปรับลดลงมา จึงมีผลต่อ SET index ค่อนข้างมาก
แต่หากมองในระยะยาว ปัจจัยบวกในระยะยาวต่อราคาน้ำมันที่ลดลงยังคงส่งผลให้ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นได้แบบ Sideway up เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าทุกๆ ราคาน้ำมันลดลง 10 เหรียญต่อบาร์เรล จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตเพิ่มขึ้นประมาณ0.7%-1.0%
ดังนั้นนักลงทุนระยะกลาง-ยาว ยังคงแนะนำใช้จังหวะอ่อนตัวโดยเฉพาะต่ำกว่า 1,450 จุด เป็นระดับเริ่มทยอยสะสม เนื่องจากยังคงมุมมองตลาดระยะกลางเป็นบวกและคาดว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นเหนือ 1,600 จุด ได้ ในไตรมาส 1/58 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางยุโรปและจีนโดยเน้นทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 17 ธันวาคม ปิดตลาดไปที่ 1,480.20 จุด เพิ่มขึ้น 18.46 จุด เปลี่ยนแปลง +1.26% มูลค่าการซื้อขาย 63,479.09 ล้านบาท โดยระหว่างเทรดแตะจุดสูงสุดที่ 1,487.48 จุด และต่ำสุดที่ 1,461.33 จุด โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 5,199.32 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,689.89 ล้านบาท ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,059.41 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 5,829.79 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มกลับมาสดใสดัชนีสามารถเปิดตลาดในแดนบวก และปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 14.36 น.ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,481.76 จุด เพิ่มขึ้น 20.02 จุด เปลี่ยนแปลง +1.37% แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กนง.มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% ต่อปี
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ ระบุสาเหตุหลังที่ ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถรีบาวด์ได้แรงในช่วงบ่าย เนื่องจากช่วง 2 วันที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลงแรงมากแล้ว โดยราคากลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะเครือ PTT กลับมาเป็นบวก นอกจากนี้ ช่วงท้ายปียังมีแรงซื้อจากกองทุนต่าง ๆ เข้ามา โดยเฉพาะกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ช่วยหนุนตลาด
ขณะเดียวกันมีรายงานว่าช่วงระหว่างวันที่ 18 – 22 ธันวาคม 57 จะมีบลจ.เปิดขายกองทริกเกอร์ฟันด์ทั้งสิ้น 5 กองวงเงินรวม 7,000 ล้านบาท เบื้องต้นมีบลจ.ธนชาต บลจ.ไทยพาณิชย์ และบลจ.ทิสโก้ที่เปิดขายแล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้าจะทยอยเปิดขายจนครบ
สอดคล้องกับนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรินีตี้ กล่าวว่า ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กนง. ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% ทำให้กระแสเงินทุนไหลออกชะลอลง นอกจากนี้ คาดหวังกองทุนทริกเกอร์ฟันด์อย่างน้อย 2 กองที่เข้ามาในช่วงปลายสัปดาห์หน้าช่วยพยุงตลาดไว้ได้ระยะหนึ่ง ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานวันนี้รีบาวด์ตอบรับราคาน้ำมันชะลอการไหลลงในระยะสั้น
พร้อมคาดการณ์แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(18 ธ.ค.) ว่า ตลาดฯยังมีโอกาสผันผวนในกรอบแนวรับ 1,450-1,460 จุด แนวต้าน 1,490-1,500 จุด จากปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FOMC ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการประชุมรอบใหญ่และจะมีการประกาศประมาณการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงการส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างชัดเจนเมื่อไหร่ โดยนักเศรษฐศาสตร์วิเคราห์ว่าหากเปลี่ยนไปจากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นในช่วงเดือน ส.ค.58 มาเป็นเดือน ก.ค.58 ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรทั่วโลก
"หากการประชุมออกมาว่าเฟดมีความเห็นออกมาว่าจะมีการเลื่อนเวลาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นจริง ก็จะส่งผลกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดพันธบัตร ทำให้มีแรงขายในระยะสั้นออกมา เรื่องนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้" นายณัฐชาต กล่าว
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หากมองปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยรวมถึงต่างประเทศที่ปรับตัวลดลงมาจากราคาน้ำมัน จนฉุดราคาหุ้นกลุ่มพลังงานที่เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ให้ปรับลดลงมา จึงมีผลต่อ SET index ค่อนข้างมาก
แต่หากมองในระยะยาว ปัจจัยบวกในระยะยาวต่อราคาน้ำมันที่ลดลงยังคงส่งผลให้ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นได้แบบ Sideway up เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าทุกๆ ราคาน้ำมันลดลง 10 เหรียญต่อบาร์เรล จะทำให้เศรษฐกิจไทยโตเพิ่มขึ้นประมาณ0.7%-1.0%
ดังนั้นนักลงทุนระยะกลาง-ยาว ยังคงแนะนำใช้จังหวะอ่อนตัวโดยเฉพาะต่ำกว่า 1,450 จุด เป็นระดับเริ่มทยอยสะสม เนื่องจากยังคงมุมมองตลาดระยะกลางเป็นบวกและคาดว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นเหนือ 1,600 จุด ได้ ในไตรมาส 1/58 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางยุโรปและจีนโดยเน้นทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี